Kodak
‘ไม่มีใครยิ้มในภาพวาด’ แต่กล้อง Kodak ทำให้การยิ้มกว้างกลายเป็นวัฒนธรรม
การยิ้มกว้างๆ ให้กับกล้อง เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราจะทำ เมื่อเรายกกล้องขึ้นถ่ายรูป โดยทั่วไป การถ่ายภาพส่วนใหญ่ เรามักตั้งใจที่จะเก็บ ‘บรรยากาศความสุข’ หรือช่วงเวลาดีๆ
แต่ก่อนที่การ ‘ยิ้มกว้าง’ ให้กับกล้องจะกลายมาเป็นเรื่องธรรมดา และกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของการถ่ายภาพ นวัตกรรม ‘กล้องถ่ายรูป’ โดยเฉพาะ ‘กล้อง Kodak’ ที่มีฟิล์มในตัว พร้อมบริการล้างอัดและส่งคืนภาพให้ผู้ซื้อนี่แหละที่ทำให้เกิดวัฒนธรรม ‘การแชะภาพ’ วัฒนธรรมที่เปลี่ยนวิธีการบันทึก ‘โลก’ หรือมุมมองของเราไปตลอดกาล
ด้วยความสะดวกรวดเร็ว และการใช้กล้องของชนชั้นกลาง ทำให้วัฒนธรรม ‘ภาพบุคคล’ และการบันทึกภาพในฐานการบันทึกชีวิต กลายเป็นเรื่องของ ‘ความสุข’ และ ‘สีสันของชีวิต’ เป็นคำตอบที่ว่า ทำไมในภาพวาดบุคคลไม่มีใครยิ้มในภาพวาด ซึ่งขนบภาพบุคคลในยุคแรก ในศิลปะและเงื่อนไขของการถ่ายภาพในยุคแรกที่ยังมีราคาแพง ใช้เวลานาน ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมภาพบุคคลให้มีความเคร่งขรึม
จากนั้นก็ยังไม่มีใครยิ้มในภาพถ่าย จนกระทั่งเรามี ‘กล้องราคาเข้าถึงได้’ นี่แหละ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คือการมาถึงของผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟัน ทำให้ผู้คนยิ้มกว้างให้กล้องมานานจนถึงในศตวรรษของเราในทุกวันนี้
แม้แต่รอยยิ้มในกล้องที่ดูเป็นเรื่องธรรมดา ก็สัมพันธ์กับกิจการและเทคโนโลยีของโลกสมัยใหม่ กระทั่งกิจการของกล้องทั้ง Kodak และ Leica ก็อาจสะท้อนทั้งปรัชญาในการทำให้กล้องซึ่งคือของใหม่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมของสองชาติที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ไม่มีใครยิ้มกว้างในภาพวาด
ความสนุกของการเขียนทรัพย์คัลเจอร์คือการค้นคว้าและค้นพบว่าพฤติกรรมธรรมดาๆ หลายๆ อย่างของเราในทุกวันนี้เกี่ยวข้องกับกิจการและนวัตกรรม เปลี่ยนวัฒนธรรม พฤติกรรมกระทั่งการมองโลก
กรณีนี้คือ ‘รอยยิ้ม’ ของเรา
ข้อสังเกตที่เรียบง่ายที่สุดคือ ‘วัฒนธรรมการยิ้ม’ ในภาพประเภทบุคคล คือภาพบุคคล (portrait) เรามีการบันทึกภาพของบุคคลที่เป็นการวาดภาพบุคคลหนึ่งๆ แบบสมจริง ซึ่งภาพวาดบุคคลไม่ได้มีแค่การบันทึกภาพใบหน้าคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นไปอย่างตาเห็น แต่ยังมีขนบและทัศนคติสะท้อนอยู่ในภาพด้วย

ภาพบุคคลแต่เดิม เรามักไม่พบการยิ้ม–หมายถึงการยิ้มกว้างหรือการแสดงสีหน้ามีความสุขในภาพวาดบุคคลเลย กระทั่งภาพบุคคลในตำนานเช่นโมนาลิซา รอยยิ้มอันลึกลับของโมนาลิซาก็สะท้อนการแสดงอารมณ์อย่างคลุมเครือ ส่วนภาพวาดอื่นๆ ซึ่งมักเป็นภาพบุคคลชนช้ันสูง ไม่ว่าจะเป็นภาพกษัตริย์ ราชินี ราชวงศ์ หรือขุนนาง ล้วนไม่มีใครฉีกยิ้มในภาพเหมือนของตน
ขนบตรงนี้เกี่ยวข้องทั้งกับเรื่องทางเทคนิค ค่านิยมทางสังคม และสุนทรียภาพทางศิลปะ ภาพวาดในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะในยุควิคตอเรียน อันที่จริง บุคคลที่มักวาดภาพที่มักเป็นการบันทึกความมั่งคั่งและเป็นหนึ่งในสมบัติของครอบครัวก็อยากจะดูมีความสุขในทรัพย์สินและความร่ำรวยของตัวเอง
แต่ในธรรมเนียมทางศิลปะ บุคคลในภาพที่มักจะยิ้มหรือฉีกยิ้ม มักเชื่อมโยงกับชนชั้นล่าง หรืออาจเป็นภาพของตัวตลก ชาวนา คนเมา เด็ก ไปจนถึงคนพิการ การฉีกยิ้มในภาพวาดมักสะท้อนถึงความไม่เต็มเต็ง กระทั่งความเจ้าเล่ห์เพทุบาย การฉีกยิ้มในยุควิคตอเรียนมักสะท้อนถึงความด้อยสติปัญญา ไม่มีเกียรติ ไม่มีการศึกษา
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ธรรมเนียมหรือภาพแทนของชนชั้นสูง ย่อมแสดงออกมาในภาพบุคคลที่มีความเคร่งขรึม ยิ่งในยุควิคตอเรียนที่ให้ความสำคัญกับการดำรงตน การอดทนอดกลั้น การไม่แสดงออกทางอารมณ์มากเกินไป รวมถึงความคิดที่ว่าผู้ที่มีจริยวัตรคือผู้ที่ควบคุมริมฝีปากของตัวเองได้ ริมฝีปากและรูปปากที่เล็กยังคือความงาม ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้การยิ้มและวัฒนธรรมการยิ้มเป็นของหายาก
จาก ‘พรุน’ ถึง ‘ชีส’ เรื่องทางเทคนิคของรอยยิ้ม
ในยุควิคตอเรียน นอกจากการวาดภาพเหมือนบุคคล ในสมัยนั้นเริ่มมีการใช้กล้องถ่ายภาพกันแพร่หลายมากขึ้นแล้ว ทว่าการถ่ายภาพยังยุ่งยากและมีราคาแพง
นอกจากเงื่อนไขที่ว่า ธรรมเนียมหรือความเชื่อของบุคคลที่ผู้ดีมีอันจะกินจะต้องแสดงท่าทีเคร่งขรึมให้สมฐานะแล้ว การไม่ยิ้มยังเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขของเทคโนโลยีการถ่ายภาพ รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆ
นึกภาพว่าสมัยก่อน การถ่ายภาพครั้งหนึ่งต้องใช้เงินมาก ภาพถ่ายแต่ละใบกว่าจะได้มาถือเป็นมหกรรมการลงทุนของครอบครัว การถ่ายภาพแต่ละครั้งต้องเรียกทั้งครอบครัวมารวมตัวกัน เซตฉาก กำหนดท่าทาง คนที่เข้ากล้องจะทำตัวเละเทะก็ไม่ได้ เดี๋ยวภาพจะพังก็จะเป็นปัญหา
ในการถ่ายภาพในยุคแรก แบบที่ถ่ายต้องอยู่นิ่งๆ เป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งนาทีถึงหลายนาที นึกภาพว่าสมาชิกในครอบครัวจะถูกจัดท่าอย่างระมัดระวัง และทุกคนจะถูกบังคับจนเกือบจะถูกทรมานให้อยู่ในท่าทีที่ดูผิดธรรมชาตินั้นจนกว่ากล้องและกระบวนการทางเคมีจะทำงานเสร็จ คนที่ถ่ายรูป ซึ่งเป็นของใหม่มากๆ ในยุคนั้นจะทั้งหวั่นใจ และต้องทำตามช่างภาพอย่างเคร่งครัดด้วยกลัวว่าภาพจะเสีย หรือเบลอ

ถ้าเราต้องยิ้มค้างเป็นครึ่งนาที คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก เรียกได้ว่าเราไม่อาจเกร็งใบหน้า ยิ้มในท่วงท่าเดียวกันโดยไม่ไหวติงเป็นเวลาหนึ่งนาทีได้ ดังนั้นการทำหน้าเรียบเฉยจึงเป็นวิธีการที่เป็นจริงได้มากกว่า
นอกจากเรื่องเทคโนโลยีการถ่ายภาพรวมกับค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเคร่งขรึม หรือทำให้การยิ้มเป็นเรื่องยาก ‘สุขภาพฟัน’ ยังเป็นอีกปัญหาสำคัญของการยิ้มในสมัยวิคตอเรียน กล่าวคือคนสมัยนั้นมักจะมีปัญหาในช่องปาก ทั้งฟันไม่สวย สุขภาพฟันไม่ดี ฟันหลอบ้าง บิดเบี้ยวบ้าง เพราะความก้าวหน้าด้านทันตกรรมยังน้อย การดูแลช่องปากด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ กระทั่งการจัดฟันยังไม่พัฒนา ดังน้ันการไม่ยิ้มก็จะง่ายกว่า
การยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ จะมาเกี่ยวกับกระแสและการโฆษณาสินค้าของการดูแลช่องปากในยุคหลังด้วย
สิ่งที่น่าสนใจคือ ก่อนที่เราจะพูดคำว่า ‘ชีส’ ซึ่งแสดงถึงความสุขสนุกสนานในการถ่ายภาพยุคปัจจุบัน ร้านถ่ายรูปร้านแรกของอังกฤษที่กรุงลอนดอน หลังจากเปิดร้านในปี 1841 ได้คิดให้ลูกค้าพูดคำว่า ‘พรุน’ (say prunes) เพื่อให้ลูกค้ามีรูปปากที่เล็ก ปิดปากลงและอยู่ในท่าทีที่เคร่งขรึมตามค่านิยม
สายลม แสงแดด และกล้อง Kodak
ในระดับนวัตกรรมและระดับวัฒนธรรม Kodak โดย จอร์จ อีสต์แมน (George Eastman) ถือเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ขับเคลื่อนกิจการกล้องถ่ายรูป ซึ่ง Kodak ไม่ได้ขับเคลื่อนแค่การขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวัฒนธรรมการถ่ายภาพให้กลายเป็นวัฒนธรรมการของการบริโภค โดยเฉพาะการบริโภคความสุข และช่วงเวลาของความสุข

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดคือการวางจำหน่ายกล้อง Kodak ในปี 1888 กล้อง Kodak ยุคแรกคือสินค้าที่มาพร้อมบริการ ด้วยนวัตกรรมของอีสต์แมน ตัวกล้อง Kodak มาพร้อมกับภาพ 100 ช็อต ติดมากับตัวกล้อง สิ่งที่ผู้ซื้อต้องทำคือเอากล้องไปถ่ายอะไรก็ได้ตามใจ ถ่ายครบแล้วก็ส่งกล้องคืนไปที่บริษัทในเมืองนิวยอร์ก บริษัทอีสต์แมน Kodak ก็จะล้างภาพ และบรรจุช็อตเข้าไปใหม่อีกร้อยรูปส่งคืนมาให้
กล้อง Kodak ที่ออกขายในตอนนั้นวางจำหน่ายในราคา 25 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินปัจจุบันก็ราคาเหมือนเราซื้อไอแพดแพงๆ สักเครื่อง
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่นวัตกรรมกล้องที่ทำให้กล้องมีขนาดกะทัดรัดลง–คือยังใหญ่อยู่นะ ขนาดเท่ากล่อง แต่อย่างน้อยก็พกพาได้ มีจำนวนการถ่ายที่กดเล่นได้หายห่วง ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับสุดยอดสโลแกนของ Kodak คือ ‘คุณแค่กดปุ่ม ที่เหลือเป็นหน้าที่เรา’–You press the button, we do the rest.
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากกล้องและบริการของ Kodak คือ การถ่ายภาพไม่ใช่กิจกรรมที่ถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่สตูดิโอ หรือในห้องที่ต้องมีการบังคับกะเกณฑ์อีกต่อไป ภาพถ่ายแต่ละภาพไม่ได้มีราคาสูง ต้องเคร่งขรึม ผิดพลาดไม่ได้ การถ่ายภาพกลายเป็นการ ‘จับ’ จังหวะหรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
ช่วงเวลาที่ว่านั้นมักกลายเป็นภาพของความสนุกสนาน ผู้คนต่างพากันหยิบกล้องออกไปทดลองในมุมถ่ายภาพแปลกๆ ออกไปกลางแจ้ง ไป ‘สแนป’ จังหวะหรือความเคลื่อนไหวของชีวิตประจำวัน ด้วยพลังของกล้องพกพานี้เองทำให้เราเกิดวัฒนธรรมการ ‘snapshot’ ขึ้น
การสแนปภาพนั้นมักมีนัยของความผิดพลาด ความตลกขบขัน จังหวะชีวิตที่อาจจะผิดแปลกไปจากเดิม การถ่ายภาพในมุมประหลาดๆ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากกล้องที่มีราคาถูกลง ถ่ายภาพได้ง่ายและสนุกขึ้น การถ่ายภาพค่อยๆ กลายเป็นเรื่อง ‘เล่นๆ’ เป็นภาพที่ชนชั้นกลางบันทึกชีวิต มุมมองที่เต็มไปด้วยความสุขหรือ joy ซึ่งเป็นบรรยากาศหรือ ‘โมเมนต์’ ของคนในยุคสมัยใหม่
ไม่ใช่แค่กล้อง แต่คือวัฒนธรรม
สำหรับความอัจฉริยะของ Kodak ไม่ได้หยุดอยู่แค่การพัฒนาตัวกล้องให้พกพาง่าย ทำงานง่าย หรือการออกแบบกล้องร่วมกับการบริการ ทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่าย ทว่า Kodak เองมีการขยายความคิด ทำให้การถ่ายภาพกลายเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับความสบายและความสนุก กิจกรรมของการถ่ายภาพยังกลายเป็นกิจกรรมที่ครอบคลุมทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น
Kodak ลงทุนในนิตยสาร เปิดพื้นที่ไปสู่งานศิลปะ ออกหนังสือแนะนำแนวทางในการถ่ายภาพสำหรับผู้ใช้งานทุกรูปแบบ ทำให้ผู้คนเข้าใจได้ว่าการถ่ายภาพกลายเป็นเรื่องของเราทุกคน เป็นเรื่องธรรมดา

ที่สำคัญคือ ด้วยหลักการของความสะดวก การให้ภาพกิจการการถ่ายภาพของ Kodak เชื่อมโยงกับความสุขและความ ‘ชิลล์’ รวมถึงเชื่อมโยงกับการพกกล้องไปใช้ในสายลมแสงแดด เช่นไอคอนของแบรนด์คือ Kodak Girl โปสเตอร์โฆษณาที่ให้ภาพหญิงสาวกำลังปล่อยใจไปกับสายลม พร้อมคำโฆษณา ‘for Happy Moments’ การถ่ายภาพในนิยามของ Kodak คืออิสรภาพ ความเบาสบายและการเก็บภาพความสุข
ถ้าเรามองย้อนไป การถ่ายภาพหลายครั้งถูกเชื่อมโยงกับมุมมองในแง่ลบ คำของการถ่ายภาพเป็นอุปมาที่สัมพันธ์กับการล่า เช่น ‘shoot’ หรือ ‘capture’ ในหลายแง่มุม การถ่ายภาพถูกนิยามว่าเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ผู้ถ่ายภาพมีอำนาจผ่านเลนส์กล้องและผู้ถูกถ่ายภาพกำลังถูกจ้องมอง
แต่การให้นิยามใหม่กับการถ่ายภาพ และการนำเสนอศิลปะรวมถึงนัยของการถ่ายภาพและภาพถ่ายของ Kodak กำลังเปลี่ยนความหมายของการถ่ายภาพ อันที่จริงบริษัท Kodak เคยคิดจะทำโปรโมตเกี่ยวกับภาพถ่ายงานศพ แต่ท้ายที่สุด Kodak ก็ตัดสินใจยืนยันให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องของสีสัน Kodak ไม่เคยเชื่อมโยงกิจกรรมการถ่ายภาพกับความเศร้า ความตายจนมีสโลแกนว่า Kodak ไม่เคยมีวันมืดหม่น (Kodak knows no dark days)
นึกภาพย้อนไป เราจะเคยชินกับกล้อง Kodak ที่แน่นอนเชื่อมโยงกับต้นไม้ใบหญ้า เป็นกล้องและการถ่ายภาพในฤดูใบไม้ผลิ เห็นภาพของสายลม แสงแดด โดยเฉพาะภาพของการพักผ่อนที่ชายหาด ภาพของเกลียวคลื่น และเรื่องราวความสนุกสนานของชีวิต
การมาถึงของกล้อง Kodak และอีกสารพัดกล้องลูกหลาน กลายเป็นว่าเรามองโลกโดยมีเลนส์ของกล้องเป็นตัวอ้างอิงมากขึ้น เราเรียนรู้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นกล้อง รวมถึงเมื่อตัวของเราอาจกลายเป็นภาพ กลายเป็นถาวรวัตถุขึ้นมาได้ เราก็เรียนรู้ที่จะ ‘ดูดี’ กระทั่งพยายามท่ีจะดูดีในภาพถ่าย เราเริ่มคิด หรือทำสิ่งต่างๆ โดยมี ‘ภาพ’ ของเราเป็นปลายทาง
ยุคหลังกล้อง Kodak ผู้คนจึงเริ่มให้ความสำคัญกับผลของห้วงเวลาต่างๆ โดยมีภาพถ่ายของเหตุการณ์นั้นๆ เป็นเป้าหมายหนึ่ง เราเริ่มเกิดงานวันเกิด เกิดการจัดวาง จัดภาพต่างๆ เพื่อให้ภาพของเราดูดีแน่นอนว่ากล้องและการที่เราหมกมุ่นกับการถ่ายภาพนำมาสู่ข้อวิจารณ์ที่เราก็น่าจะคุ้นเคยกันดี
เรายุ่งอยู่แต่กับกล้องในมือ ทำให้พลาดเวลาที่แท้จริง นอกจากข้อกังวลแล้ว ในพื้นที่ของกิจการถ่ายภาพก็มีการพัฒนาต่อเนื่องมากมาย
Leica กับอีกฝั่งทวีปที่การถ่ายภาพยากก็ดี
จากวัฒนธรรมสะดวกถ่ายจากสหรัฐฯ ของ Kodak วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์การพัฒนากล้องถ่ายภาพเองก็มีผู้ผลิตใหม่ๆ ซึ่งมีบริบทและวิธีการนำเสนอสินค้าของตัวเอง ในยุโรปก็มีการเกิดขึ้นของกล้องไลก้า (Leica) กล้องถ่ายรูปจากบริษัทกล้องจุลทรรศน์ Leitz กล้องไลก้าจิ๋ว (miniature Leica) รุ่นแรกถูกผลิตขึ้นในปี 1924
ไลก้าและวัฒนธรรมเยอรมัน ไม่มีการนำเสนอเรื่องความสะดวกถ่าย และไม่มีแนวคิดเรื่องการยิ้มให้กล้อง ไม่ขายการเก็บความสุข แต่บริษัทขายไลก้าด้วยวิธีการที่เรียบง่าย วางขายครั้งแรกในงานแฟร์สำคัญของเยอรมันของเมืองไลพ์ซิก (Leipzig Fair) งานจัดแสดงสินค้าที่เก่าแก่และยิ่งใหญ่ ใช้จัดแสดงนวัตกรรมและสินค้า หลังจากนั้นใช้วิธีส่งตัวแทนการขายไปกระจายกล้องไลก้าให้กับตัวแทน ตัวแทนก็จะเอากล้องไลก้าไปให้ผู้สนใจเช่า
สิ่งที่เกิดขึ้นในการขายของไลก้าคือเกิดชุมชนคนเล่นกล้องขึ้น วิธีการสร้างวัฒนธรรมหรือทำให้คนคุ้นเคยกับภาพถ่ายของไลก้าจึงค่อนไปทางการสร้างชุมชน รวมถึงสร้างความเป็นสถาบันให้กับศิลปะของการถ่ายภาพ สิ่งที่ไลก้าทำคือการจ้างช่างภาพมืออาชีพ และเริ่มจัดตั้งสถาบันด้านภาพถ่ายของไลก้าขึ้น

กิจกรรมการโปรโมตของไลก้าจึงเป็นเรื่องวัฒนธรรมและการสร้างความเป็นศาสตร์และศิลป์อย่างยิ่งยวด มีการเดินสายบรรยาย ออกหนังสือ กล้องไลก้ากลายเป็นอุปกรณ์ของมืออาชีพและวิชาชีพในสาขาต่างๆ เป็นเครื่องมือของการแสวงหาและถ่ายทอดความรู้ กล้องไลก้ากลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ นักสำรวจติดมือไปเพื่อสำรวจป่าห่างไกล
กล้องไลก้า รวมถึงศิลปะของภาพถ่ายจากไลก้าทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องของการอุทิศตนไปยังทุกแง่มุมของความสนใจ จากนักเคมี ถึงนักเดินทาง กระทั่งนักกีฬาอาชีพ นักดนตรีก็ล้วนมีนิทรรศการหรือการบอกเล่าเนื้องานตลอดชีวิตอันล้ำค่าผ่านกล้องไลก้าของแต่ละคน
วัฒนธรรมการถ่ายภาพ รวมถึงวัฒนธรรมการถ่ายภาพจากไลก้าในเยอรมัน จึงไม่มีการพิมพ์นิตยสาร ไม่มีภาพการไปพักผ่อนหย่อนใจ และมีรอยยิ้มน้อยมากที่ปรากฏในโฆษณาและภาพถ่ายของไลก้าในยุคร่วมสมัยกับ Kodak
จริงๆ ไลก้าเองก็มีคู่แข่ง เช่นมีความพยายามนำเอาวิธีคิดจากบริษัทอเมริกัน เช่นนำความสะดวกสบายมาใช้ เอาการบริโภคความสุขและการเก็บเวลาแห่งความสุข ความแสนสบายไปตีตลาดเยอรมัน แต่ด้วยวัฒนธรรมเยอรมัน รวมถึงวัฒนธรรมการถ่ายภาพที่ก่อตัวขึ้นบนการงานและความประณีต การลงแรงและงานศิลปะ การทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องง่ายจึงไม่เกิดขึ้นและขายไม่ได้ในดินแดนที่วัฒนธรรมการถ่ายภาพเคร่งขรึม ไม่ใช่การถ่ายภาพเพื่อความสนุก
การเปรียบเทียบสองวัฒนธรรมการถ่ายภาพ ไม่ได้เทียบเพื่อแยกแยะว่าการถ่ายภาพและวัฒนธรรมแบบไหนถูกหรือผิด แต่เราจะเห็นว่าด้วยบริบทของแต่ละพื้นที่ ในการก่อร่างขึ้นของวัฒนธรรมใหม่จากสิ่งใหม่คือกล้องถ่ายภาพ นวัตกรรมที่ในที่สุดไม่ได้เปลี่ยนแค่วิถีชีวิต แต่กลับเปลี่ยนวิธีการมองโลกและการบริโภคของเรา
จากบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อเมริกาเป็นประเทศเกิดใหม่ เยอรมนีเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความทุ่มเท การ ‘ขาย’ นวัตกรรมก็มีนัยที่แตกต่างกัน และสร้างวัฒนธรรมในการใช้กล้องและมองภาพถ่ายในมุมที่แตกต่างกัน จากการจับแมสด้วยความง่ายและความสนุกแบบอเมริกัน กับการค่อยๆ แผ่ความนิยมจากพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจง พื้นที่ของความเชี่ยวชาญและการทำงานหนักแบบเยอรมัน
ความแตกต่างนี้ ทุกวันนี้เราก็คงยังพอสัมผัสได้ Kodak ในยุคก่อนหน้ากับสีสันและความสนุกสนาน หรือไลก้า กับการเป็นกล้องของยอดฝีมือและงานภาพที่เข้มข้นจริงจัง
และนี่เป็นอีกครั้งที่ทรัพย์คัลเจอร์พาไปสำรวจเรื่องที่แสนธรรมดา และอาจจะเป็นสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันคือการยกกล้องขึ้นถ่ายและยิ้มให้กล้อง หรือการที่เรายิ้มแสดงความสดใสในการถ่ายภาพหมู่ ถ่ายภาพกับเพื่อน รอยยิ้มธรรมดาที่จริงๆ เมื่อสืบสาวกลับไปก็กลับเต็มไปด้วยร่องรอยและกิจการที่ขายความสดใส เพื่อที่จะขายกล้อง และทำกล้องให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ของวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่กลายเป็นตัวเราในฐานะ ‘คนสมัยใหม่’ ของความเป็นสมัยใหม่
รอยยิ้มที่เรียบง่ายและปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง แท้จริงแล้วในรอยยิ้มนั้นมีนวัตกรรมของกล้อง มีกลยุทธ์ในการขายเทคโนโลยี มีนัยอันซับซ้อนของการเป็นตัวแทนของปรัชญาการใช้ชีวิต การพักผ่อน การสะสมห้วงเวลาที่ดี การบริโภคที่มีความสุขเป็นศูนย์กลาง
รอยยิ้มที่จริงๆ เราก็ยิ้มกันอยู่แล้ว แต่การยิ้มในกล้อง อาจเป็นเรื่องใหม่กว่าที่เราคิด
ภาพ Kodak Girl
อ้างอิง