Trade Transforming, Connecting Future

3 เรื่องสำคัญต่อการค้าไทย เมื่อเกมการค้าโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจไทยทำยังไงไม่ให้ตกขบวน 

ไทยเราอาจบอกว่าตนเองเด่นเรื่องเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว แต่ทั้งจากการเมืองภายใน การเมืองภายนอก ข้อจำกัดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น เช่น ภาษีทรัมป์ ไปจนถึงกฎระเบียบต่างๆ ในตลาดสากล เราอาจต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ว่าจุดยืนด้านการค้าของเราอยู่ที่ตรงไหน  

เป็นเหตุผลให้ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD จัดงาน ITD Research Forum 2025 เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและนำเสนองานวิจัย พร้อมถ่ายทอดมุมมองจากนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้กำหนดนโยบาย ต่อโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยและอาเซียนในอนาคต 

ตลาดโลกให้ความสำคัญกับอะไร ไทยเราควรยืนอยู่ที่จุดไหน คอลัมน์ Recap ตอนนี้ขอพาไปสำรวจ 3 เรื่องสำคัญที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

1. ไทยต้องกระจายความเสี่ยงและค้นหาตลาดใหม่ ซึ่งตลาดนั้นอาจเป็น wellness 

ระบบการค้าโลกกำลังรีเซตจากหลายปัจจัย ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามภาษี เช่น กรณีสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีกับหลายประเทศ, การแข่งขันด้านเทคโนโลยีของมหาอำนาจ และการเปลี่ยนจากการใช้กฎพหุภาคี ไปสู่การเจรจาทวิภาคีหรือพหุภาคีขนาดเล็ก นั่นหมายความว่าไทยไม่สามารถพึ่งพาตลาดเดิมๆ ได้ ต้องกระจายความเสี่ยง ค้นหาตลาดใหม่ และพร้อมเข้าสู่การเจรจาความตกลงที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

หากดูที่กลยุทธ์ของประเทศมหาอำนาจอย่างจีน จะเห็นว่าภายในปี 2025 จีนพยายามพึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างน้อย 70% ภายในปี 2049 จีนต้องการยึดส่วนแบ่งและผู้นำในตลาดโลกซึ่ง 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่จีนต้องการเป็นที่หนึ่งให้ได้นั้น ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศขั้นสูง, เครื่องจักรกลอัตโนมัติและหุ่นยนต์, อากาศยานและอวกาศ, อุปกรณ์ทางทะเลและการขนส่งไฮเทค, ระบบรางสมัยใหม่, ยานยนต์และอุปกรณ์พลังงานใหม่ (NEV/EV), อุปกรณ์พลังงาน, เครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตร, วัสดุใหม่และไบโอฟาร์มา

ความหมายของกลยุทธ์นี้คือซัพพลายเชนระดับโลกของอุตสาหกรรมเหล่านี้จะพึ่งพาจีนมากขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อไทยและทำให้ไทยต้องเลือกบทบาทในซัพพลายเชนให้ชัดเจน เราจะเป็นเพียงผู้ส่งออกสินค้าทั่วไปที่แข่งขันด้านราคา หรือจะก้าวไปสู่การขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงเราจะผนวกสินค้าไทยเข้าไปในห่วงโซ่การผลิตที่มีคุณภาพของโลกได้ยังไงบ้าง เพราะไม่เช่นนั้น ไทยเราอาจถูกบีบให้เป็นแค่ซัพพลายเออร์ราคาถูกโดยไม่มีอำนาจต่อรอง

หนึ่งในข้อเสนอคือการที่ไทยควรลดการพึ่งตลาดสหรัฐฯ เพื่อกระจายความเสี่ยงตลาดและกติกา, ยกระดับเกษตรสมัยใหม่ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี, พัฒนาโลจิสติกส์ราง–ท่าเรือ เพื่อเป็นศูนย์ความมั่นคงอาหารของภูมิภาค, ปฏิรูปการศึกษา เพื่อเติมทักษะใหม่ให้แรงงาน, เร่งเปลี่ยนสู่พลังงานแสงอาทิตย์, เปลี่ยนโมเดลเติบโต จากขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมส่งออก ไปเป็น ‘เศรษฐกิจฐานสุขภาวะ’ หรือ wellness-driven 

เหตุผลที่ต้องเป็นเรื่องเศรษฐกิจฐานสุขภาวะ เพราะสอดรับโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย และแนวโน้มบริการในตลาดโลกโตต่อเนื่อง ซึ่งไทยอาจได้ประโยชน์จากทั้งบริการทางการแพทย์, อุปกรณ์การแพทย์เฉพาะทางที่ไทยมีศักยภาพ, ธุรกิจสปา นวด, อาหาร, แพทย์แผนไทยและสมุนไพร ซึ่งทั้งหมดนี้เสี่ยงโดนภาษีสหรัฐฯ น้อยกว่า ทั้งยังไม่ต้องชนโดยตรงกับจีนที่มีกำลังการผลิตมหาศาล 

ไทยยังมีทุนทางวัฒนธรรมและเด่นเรื่องงานบริการอยู่แล้ว หากวางมาตรฐาน สร้างความน่าเชื่อถือ และเชื่อมกับระบบประกันและท่องเที่ยวคุณภาพได้ ก็อาจเป็นแพลตฟอร์มบริการระดับภูมิภาคได้ 

2. ไทยต้องสร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานแรงงานให้ได้

หลายประเทศพัฒนาแล้วกำลังเรียกร้องให้ประเทศคู่ค้าเปิดเผยที่มาของวัตถุดิบ ยกระดับมาตรฐานแรงงาน รวมถึงลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม 

ที่ผ่านมามีกฎระเบียบออกมามากมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม เช่น กฎ CBAM ของสหภาพยุโรป หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism ซึ่งเป็นกลไกปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ผลิตในยุโรปเสียเปรียบ เพราะธุรกิจในสหภาพยุโรปต้องลงทุนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่สินค้านำเข้าจากประเทศอื่นอาจยังผลิตแบบปล่อยคาร์บอนสูง มาตรการนี้ยังมีผลกระทบโดยตรงต่อสินค้าประเภทเหล็ก, ซีเมนต์, ไฟฟ้า, อะลูมิเนียม ซึ่งไทยเองก็เป็นผู้ผลิตหลัก กลุ่มสินค้าประเภทนี้จึงเริ่มปรับตัวแล้ว

แต่สำหรับธุรกิจประเภทอื่นๆ การผลิตสินค้าต่อจากนี้ไม่ใช่แค่ต้องมีคุณภาพสูงตามสเปก แต่ต้องมีธรรมาภิบาล ต้องตรวจสอบได้ หากไม่ทำ ธุรกิจนั้นๆ จะถูกกีดกันจากตลาดพรีเมียมทันที ธุรกิจที่จะอยู่ต่อได้ จะต้องสามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง กล่าวคือทั้งวัตถุดิบและกระบวนการผลิตต้องปล่อยคาร์บอนต่ำที่สุด 

มากไปกว่านั้น อีกโจทย์ใหญ่ของไทยยังคือการพัฒนาแรงงาน เพราะการดึงดูดบริษัทจากประเทศมหาอำนาจทั้งหลายมาลงทุนในไทยต้องอาศัยแรงงานที่มีทักษะ หากไม่ upskill หรือ reskill แรงงาน ให้มีทักษะที่ตลาดแรงงานในระดับโลกต้องการ เช่น ทักษะ AI, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์, เทคโนโลยี จะกลายเป็นคอขวดต่อการเติบโต

3. ไทยจะปรับตัวได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน  

ด้วยมาตรการทั้งหลายเหล่านี้ ธุรกิจไทยไม่สามารถขยับได้ด้วยตนเอง หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ฝั่งแม่งานอย่าง ITD ต้องทำให้ข้อมูลวิจัยเชื่อมโยงกับนโยบายจริง เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานอื่นๆ นำไปใช้กำหนดทิศทางในอนาคต  

ฝั่งภาครัฐก็ควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนผู้ผลิตไทย โดยจัดหาคำปรึกษาด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และมาตรการสนับสนุนการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งควรมีการถ่ายทอดความรู้และการศึกษาให้กับผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และช่วยเหลือในการปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานที่เกิดขึ้นในระดับสากล  

ทั้งหมดนี้ คือแนวทางที่นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าเศรษฐกิจไทยควรจะไปทางไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนขั้วการเมืองอีกครั้ง อาจต้องลุ้นว่าการปรับตัวให้เร็วของทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน จะต้องชะงักอีกครั้งหรือไม่

Writer

พิลาทิสและแมว

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม Email: [email protected]

You Might Also Like