Behind the Red Bottle

ศาสตร์และศิลป์ที่ SHISEIDO ใช้ปั้นเซรั่มขวดแดง ‘ULTIMUNE’ ให้เป็นไอคอนิกเซรั่มที่คนรักทั่วโลก

ถ้าใครมีโอกาสไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ที่หน้าร้านหรือตามเคาน์เตอร์แบรนด์บ่อยๆ จะสังเกตเห็นว่าช่วงหลายปีมานี้ ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่อย่าหยุดสวยเท่านั้น แต่จะเห็นผู้คนแทบทุกเพศ ทุกวัย ไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์มาดูแลตัวเองกันมากขึ้น

ด้วยค่านิยมและมุมมองเรื่องความงามที่เปิดกว้าง ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าความงามในไทยโตขึ้นถึง 11.6% โดยส่วนใหญ่กว่า 41.78% ผู้คนนิยมช้อปปิ้งสินค้าเกี่ยวกับสกินแคร์เป็นหลัก และมีแนวโน้มจะใช้สินค้ากลุ่มพรีเมียมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งแบรนด์ที่ครองอันดับ 1 ของไทยในตลาด Prestige Skincare หรือสกินแคร์ระดับพรีเมียมคือ ‘SHISEIDO’ แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีอายุกว่า 150 ปี และยังถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงมีสินค้าที่ฮอตฮิตติดตลาด ขนาดที่ถ้าถามถึงไอคอนิกเซรั่มที่ผู้คนหลงรักและเลือกใช้กัน ชื่อของ ‘ULTIMUNE’ หรือเซรั่มขวดแดงต้องติดโผเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน

และในปี 2567 นี้เซรั่ม ULTIMUNE ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 10 แบบพอดิบพอดี คอลัมน์ Recap จึงพามาพลิกหลังกล่อง ส่องเบื้องหลังที่ SHISEIDO ใช้ทั้ง ‘ศาสตร์และศิลป์’ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและวิจัย นวัตกรรมความงามทางวิทยาศาสตร์ และสุนทรียศาสตร์ มาผสมผสานเข้ากับศิลปะอันประณีตตามแบบฉบับวัฒนธรรมญี่ปุ่น เพื่อสร้างสรรค์เซรั่มที่พลิกโฉมนิยามแห่งความงามของผู้คนทั่วโลก

1. 30 ปีที่ทำการวิจัย สู่การค้นพบว่าภูมิคุ้มกันผิวที่ดีมีผลต่อสุขภาพผิว

ถ้าคิดจะทำเซรั่มสักขวดหนึ่ง หลายคนคงเริ่มต้นจากการคิดค้นสูตรเซรั่ม แต่ SHISEIDO กลับคิดนอกกรอบไปมากกว่านั้น เพื่อให้ได้คอนเซปต์ของสินค้าที่ชัดเจน แตกต่างจากแบรนด์อื่นในท้องตลาด และตอบโจทย์ความต้องการของผิวอย่างแท้จริง

SHISEIDO จึงตั้งต้นจากการศึกษาและวิจัยเรื่องภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อสุขภาพผิว เพื่อหานิยามว่าผิวสุขภาพดีคืออะไรกันแน่? โดยใช้เวลาหาคำตอบนานกว่า 30 ปี ก่อนที่จะค้นพบว่าระบบภูมิคุ้มกันผิวที่ดี มีผลทำให้สุขภาพผิวแข็งแรง และเป็นด่านแรกของการปกป้องผิวจากมลภาวะที่เผชิญในชีวิตประจำวัน ซึ่งการค้นพบครั้งนี้นำไปสู่คอนเซปต์ของเซรั่ม ULTIMUNE เรื่องการบำรุงชั้นผิวเพื่อช่วยดูแลปราการผิวให้แข็งแรง

2. 6,750 ครั้งที่ทดลองส่วนผสม จนได้สูตรที่เหมาะกับทุกสภาพผิว

อย่างที่รู้กันว่าวิธีเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ควรเลือกสูตรที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเรา เช่น ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย แต่แทนที่ SHISEIDO จะพัฒนาสูตรเซรั่มที่เหมาะกับแต่ละสภาพผิว แบรนด์กลับตั้งโจทย์ที่ท้าทายกว่านั้น ด้วยการหาสูตรที่ใช้ได้กับทุกสภาพผิว เพื่อให้ผลิตภัณฑ์หนึ่งตัวสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้ทุกแบบ

หลังจากใช้นวัตกรรมความงามทางวิทยาศาสตร์มาทดลองหาส่วนผสมที่ใช่กว่า 6,750 ครั้ง จนพบสารสกัดจากธรรมชาติที่อุดมไปด้วยประสิทธิภาพอย่าง fermented roselle extract หรือกระเจี๊ยบหมักบ่ม ซึ่งกลายมาเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้เซรั่ม ULTIMUNE เป็นตัวเปิดผิวให้พร้อมรับการบำรุงจากสกินแคร์อื่นๆ และทำให้ผิวเรียบเนียบอย่างสุขภาพดี

3. 500 ตัวอย่างเนื้อสัมผัส ที่ทดลองจนได้เนื้อเซรั่มที่ผู้คนหลงรัก

เคยเป็นไหม? ต่อให้เซรั่มนั้นดีแค่ไหน ถ้าใช้แล้วเหนียวเหนอะหนะ ก็พร้อมโบกมือลาเซรั่มขวดนั้นทันที SHISEIDO เข้าใจความต้องการของลูกค้าในจุดนี้ดี จึงทดลองหาตัวอย่างเนื้อสัมผัสกว่า 500 ครั้ง และทำการประเมินทางประสาทสัมผัสอย่างลึกซึ้งวินาทีต่อวินาที เพื่อหาเนื้อสัมผัสที่ผู้คนจะชื่นชอบมากที่สุด จนได้เนื้อเซรั่มที่ให้สัมผัสสดชื่น ตั้งแต่หยดลงบนฝ่ามือสู่ผิวหน้า และซึมลงสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะมากวนใจ

นอกจากนี้ยังเพิ่มสุนทรียศาสตร์ในการใช้งานด้วยการเปิดประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นหอมที่ถูกคิดค้นขึ้นอย่างละเมียดละไม ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติอย่างดอกไม้พันธุ์สีเขียว มะลิ กุหลาบ และกระวาน ซึ่งล้วนแต่เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย

4. 3 ดีไซน์ขวดที่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เพื่อสะท้อนถึงการพัฒนาอยู่เสมอ

อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากของเซรั่ม ULTIMUNE คือรูปทรงและสีสันของขวดที่โดดเด่นสะดุดตา โดยพัฒนาให้ทันสมัยตามกาลเวลา เพื่อสะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่พัฒนาอยู่เสมอ จนปัจจุบันเป็นดีไซน์ขวดเวอร์ชั่นที่ 3 ซึ่งนักออกแบบเลือกไล่ระดับสีของบรรจุภัณฑ์ ด้วยเฉดสีแดงที่ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์เท่านั้น แต่ยังสื่อถึงพลังที่แสดงออกมาจากภายในสู่ภายนอก

ส่วนดีไซน์ขวดคล้ายกับเกลียวคลื่น ที่นอกจากจะทำให้จับถนัดมือแล้ว ยังสะท้อนถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันล้ำหน้าในการเสริมปราการผิวแข็งแรง และลักษณะที่เป็นส่วนเว้า ส่วนโค้งของขวดยังเป็นสัญลักษณ์ของความยืดหยุ่นของผิว ที่กำลังฟื้นตัวจากการบำรุงอย่างล้ำลึก แม้แต่ฝาขวดยังสอดแทรกรูปทรงดอกคามิเลียที่ถูกยกเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามของ SHISEIDO อีกด้วย

5. 25 ล้านขวดที่ขายได้ใน 88 ประเทศทั่วโลก

หลังจากเปิดตัวเซรั่ม ULTIMUNE เพียง 1 ปี ก็สร้างปรากฏการณ์ด้วยยอดขายกว่า 1 ล้านขวด และในปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่ขวบปีที่ 10 ก็มียอดขายสูงถึง 25 ล้านขวด ทำให้โดยเฉลี่ยแล้วเซรั่มขวดแดงสามารถสร้างขายได้ 1 ขวดในทุก 8.9 วินาที

ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าการที่สินค้ามีจุดเด่นชัดเจน ในเรื่องของเซรั่มที่เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว และหยิบมาใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ยิ่งทำให้ถูกใจผู้คนหลากหลายกลุ่ม รวมถึงคุณภาพสินค้าที่ดีทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ จนสามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปัจจุบันวางขายได้ใน 88 ประเทศทั่วโลกเลยทีเดียว

6. 252 รางวัลการันตีคุณภาพ นับตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์

นอกจากความสำเร็จเรื่องยอดขายแล้ว ภายในปีแรกที่เปิดตัวเซรั่ม ULTIMUNE ก็ได้รับรางวัลการันตีจากนิตยสารชั้นนำทั่วโลกถึง 63 รางวัล และมีหลายรางวัลที่ได้รับต่อเนื่องมาตลอด 10 ปีซ้อน จนขึ้นแท่นเป็นสกินแคร์ที่สร้างชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ถ้านับรวมทุกรางวัลตั้งแต่เปิดตัวผลิตภัณฑ์จนถึงปัจจุบัน เซรั่มขวดแดงกวาดรางวัลมาแล้วถึง 252 รางวัล

7. 10 ปีของ ULTIMUNE ที่ถูกถ่ายทอดผ่านผลงานออกแบบของยูนิ โยชิดะ

ในโอกาสพิเศษที่เซรั่ม ULTIMUNE เข้าสู่ปีที่ 10 มาพร้อมกับแคมเปญ ‘BELIEVE IN BEAUTY’ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งทศวรรษ และสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนเห็นถึงพลังแห่งความงาม ที่สามารถขับเคลื่อนชีวิตได้อย่างมีพลัง

โดยถ่ายทอดผ่านผลงานศิลปะของยูนิ โยชิดะ ศิลปินและผู้กำกับศิลป์ชื่อดังของญี่ปุ่น ที่นำปรัชญาความงามในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาบอกเล่าผ่านภาพยนตร์โฆษณา

ที่ใช้ศิลปะการจัดวางดอกไม้ฮานาซึบากิ สัญลักษณ์ของแบรนด์ SHISEIDO ที่มีสีแดงสดอันเป็นเอกลักษณ์ มาจัดวางเป็นรูปวงกลมซ้อนกันหลายชั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคลื่นน้ำที่ขยายวงกว้างไม่รู้จบ สื่อถึงผิวที่ได้รับความชุ่มชื่นกระจ่างใส และมีจำนวนผู้ใช้เซรั่ม ULTIMUNE อยู่ทั่วโลก

สำหรับในไทยก็ได้ต่อยอดมาสู่แคมเปญ ‘THE BEAUTY IMMUNITY’ ที่ถ่ายทอดโดยวิน–เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร นักแสดงชื่อดังของไทย ผ่านโฆษณาที่บอกเล่าถึงการมีภูมิคุ้มกันผิวที่แข็งแรง เป็นจุดเริ่มต้นของผิวสุขภาพดีในอุดมคติ และตอกย้ำให้เห็นว่า ULTIMUNE เป็นไอคอนิกเซรั่มที่ผู้คนหลงรักอย่างแท้จริง

Writer

นักเขียนที่อยากเปลี่ยนเรื่องธุรกิจให้เป็นเรื่องสนุก และมีแมวกับกาแฟช่วยฮีลใจในทุกวัน

You Might Also Like