Cultural in Style 

เบื้องหลังแฟชั่นเทรนดี้ของ SALETE ที่ออกแบบกระเป๋าจากเศษผ้าและเรื่องเล่าจากคลองแสนแสบ

เมื่อพูดถึง ethical fashion หรือแฟชั่นรักษ์โลก ภาพจำของหลายคนมักเชื่อมโยงกับสินค้าวัสดุธรรมชาติหรือท้องถิ่นที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งมักมีดีไซน์ที่ตรงกันข้ามกับแบรนด์ที่มีความแฟชั่นจ๋า และหลายครั้งก็ใช้ได้แค่ในโอกาสพิเศษแต่ไม่เหมาะสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ SALETE กลับพลิกภาพจำได้อย่างสิ้นเชิง เพราะดีไซน์กระเป๋าของแบรนด์นี้มีความเทรนดี้และได้ไปเฉิดฉายในงานดีไซน์วีคที่ยุโรปมาแล้ว

ชื่อแบรนด์ SALETE (สะเลเต) เป็นชื่อดอกไม้ไทย เพราะนงนุช บํารุงกุล เจ้าของและนักออกแบบ อยากตั้งชื่อแบรนด์ที่เล่าคอนเซปต์ถึง cultural bag ที่หลายคอลเลกชั่นมีแรงบันดาลใจจากสิ่งรอบตัวในวิถีชีวิตไทย เช่น ไซดักปลา พานพุ่ม สไบ 

แบรนด์นี้เริ่มต้นจากความตั้งใจในการอนุรักษ์งานหัตถกรรม กระบวนการออกแบบจึงเน้นอุดหนุนผ้าทอและใช้เศษวัสดุอย่างคุ้มค่า เนื่องจากผ้าไหมที่นำมาใช้มีปริมาณจำกัด ทำให้แต่ละรุ่นมีสีและลวดลายแบบลิมิเต็ดเอดิชั่น ที่ไม่สามารถผลิตซ้ำได้เหมือนเดิม

เบื้องหลังกระบวนการออกแบบที่ใช้วัสดุท้องถิ่นและนำผ้ามาใช้ซ้ำไม่เพียงช่วยลดเศษผ้า แต่ยังสร้างระบบกระจายรายได้ที่ทั่วถึง ทุกครัวเรือนในชุมชนมีบทบาทเฉพาะของตนเอง ทำให้รายได้ไม่กระจุกอยู่เพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ตลอดเวลากว่า 5 ปีของการทำแบรนด์ที่ผ่านมา นงนุชยึดมั่นในความตั้งใจแรกเริ่ม คือการสนับสนุนชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านงานออกแบบ เธอเชื่อว่าต่อให้ดีไซน์จะโดดเด่นแค่ไหน ก็ต้องฟังเสียงลูกค้าอยู่เสมอ และสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดลายเซ็นของแบรนด์ที่ชัดเจนและสามารถสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

Start with What’s in Hand

เส้นทางสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์กระเป๋าผ้าไหมของนงนุช เริ่มจากประสบการณ์ยาวนานในงานออกแบบภายใน (interior design) ทำให้เธอเชี่ยวชาญการจับคู่สีสันและเลือกใช้วัสดุ จนวันหนึ่ง เธอตัดสินใจลงเรียนตัดกระเป๋าเป็นงานอดิเรกในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ 

สิ่งที่เริ่มจากความสนุกเล็กๆ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ เมื่อญาติพี่น้องในครอบครัวที่เก็บสะสมผ้าไทยไว้ต่างมาขอให้เธอตัดกระเป๋าให้ กลายเป็นงานออกแบบที่ลองออกแบบกระเป๋าให้คนรู้จักก่อนในตอนแรก และเปิดโอกาสให้มองเห็นความเป็นไปได้ทางธุรกิจในเวลาต่อมา

“เมื่อห้าปีก่อน ยังไม่มีกระเป๋าผ้าไหมสไตล์ casual ที่ใช้ได้ทุกวัน ส่วนใหญ่กระเป๋าผ้าไทยจะเป็นแบบที่เหมาะกับการออกงานทางการ โอกาสที่เราจะเห็นผ้าไทยหรือผ้าไหมในชีวิตประจําวันค่อนข้างน้อยมาก ชุมชนที่ทอผ้าก็น้อย เพราะขายยากและคนใช้งานยาก ด้วยความที่เราเป็นนักออกแบบ ก็เลยคิดว่าถึงแม้เราจะไม่ใช่คนในชุมชน แต่เราสามารถใช้การออกแบบช่วยชุมชนได้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทํางานอนุรักษ์ผ้าไทย”

สิ่งที่โดดเด่นของแบรนด์ SALETE คือสีสันที่หลากหลาย หลายคนอาจคิดว่าไอเดียจับคู่สีที่สวยงามเหล่านี้ต้องมาจากนักออกแบบ แต่นงนุชบอกว่าเธอไม่ได้เป็นคนกำหนดโทนสีเองเลย กระเป๋าทุกใบตั้งต้นจากผ้าที่ชุมชนมีอยู่แล้ว

“เราอยากให้ชุมชนทอผ้าด้วยความสุข ความสบายใจ และความภูมิใจในการทำงาน เหมือนเวลาที่เราอยากทํางานอะไร เราก็ได้ทํา พอเราชอบและทำด้วยใจรัก เราก็จะทำได้ดีและทำได้นานขึ้น ถ้าไปจำกัดความคิดชาวบ้าน อาจทำให้ความสุขในการทำงานลดลง เราเลยอุดหนุนผ้าจากชาวบ้านโดยไม่ได้กำหนดว่าปีนี้ต้องมีเทรนด์สีแบบไหน เราเลือกผ้าที่ชาวบ้านภูมิใจในลาย หรือใช้เทคนิคขั้นสูงในการย้อมผ้ากว่าจะได้สีแบบนี้ออกมา”

นงนุชยกตัวอย่างสีมะขามที่ต้องย้อมหลายรอบกว่าจะได้โทนสีสวยลึกอย่างที่เห็น และบอกว่าในขณะเดียวกันก็ยังสนับสนุนลายที่มีความโมเดิร์น เพื่อให้คนรุ่นใหม่มองผ้าไหมเหมือนผ้าลายทั่วไป เช่น ลายดอกหรือลายกราฟิกที่ใช้งานง่าย

สำหรับวัสดุหลักที่ใช้ทำกระเป๋าของแบรนด์คือผ้าไหม เสริมด้วยผ้าฝ้ายในบางรุ่นตามความเหมาะสม โดยเลือกลายผ้าไหมที่เป็นลายเบสิก ทอง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ชาวบ้านที่มีทักษะต่างกันสามารถทำได้คล่องและกระจายงานสู่หลายครัวเรือนได้อย่างทั่วถึง

“ขั้นตอนการทําผ้าไหมมันเยอะมาก ตั้งแต่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม กว่าจะสาว มัดย้อม ผ้าไหมหนึ่งผืนไม่ได้เกิดจากหนึ่งบ้านหรือหนึ่งแฟมิลี่ มันเกิดจากทั้งชุมชนซึ่งเป็นเหมือนระบบเศรษฐกิจชุมชน แต่ละบ้านก็จะชำนาญเฉพาะอย่าง บางบ้านเก่งเลี้ยงไหม อีกบ้านเก่งสาวไหม ชาวบ้านจะทำงานเป็นวงจรต่อกันมาเป็นทอดๆ มันเลยกลายเป็นวัฏจักรของเศรษฐกิจชุมชนขึ้นมา และการที่เราอุดหนุนผ้าไหมเลยช่วยได้แบบองค์รวมเป็นวงกว้าง”

Modular Design from Leftovers

“เอาเศษผ้ามาทําจนไม่รู้ว่ามันเป็นเศษผ้า”  นี่คือคอนเซปต์ของกระเป๋าคอลเลกชั่น Morph ที่มองไม่ออกเลยว่ามาจากเศษหนังและเศษผ้าเหลือผสมกัน

ด้วยความที่การตัดกระเป๋ามักมีเศษผ้าไหมเหลือเสมอ นงนุชจึงตามหาเศษหนังเหลือจากโรงงานที่มีโทนสีเข้ากับเศษผ้า จากเศษวัสดุซึ่งมีที่มาจากคนละทิศละทาง เมื่อจับมาแมตช์กันด้วยสายตาของดีไซเนอร์ก็ออกมาเข้าคู่เป็นพาเลตต์เดียวกัน สวยราวเกิดมาเพื่อกันและกัน 

“เวลาที่เศษผ้าหลือเป็นชิ้นเล็กๆ จนมันไม่สามารถทําอะไรได้เลย เราก็เอาเศษเล็กๆ มาต่อกัน เรียกว่า Modular Technique แล้วก็เอามาสานกันเพื่อเพิ่มความแข็งแรง มันต้องใช้ทฤษฎีสีนิดหน่อย เพื่อทําออกมาแล้วเป็นโทนสีที่ใช้งานง่ายในชีวิตประจําวันได้ แมตช์เสื้อผ้าง่าย ปกติหนังจะทํามาหลายสีอยู่แล้วและเศษหนังในโรงงานก็มีสีเยอะ ซึ่งตอนนี้เราจองเศษหนังในโรงงานหมดแล้ว

“ทรงของกระเป๋า Morph จะมาจาก ‘ไซดักปลา’ เพราะอยากให้คนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สมัยก่อนเป็นยุคที่ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ทุกบ้านจะมีไซดักปลาเพราะไปตรงไหนก็มีปลาให้จับ แม่เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนตอนอยู่บางกะปิ คลองแสนแสบใส เห็นสาหร่าย เห็นปลาว่าย แม่ชอบไปตกกุ้ง สมัยนั้นสิ่งแวดล้อมดีขนาดนั้นเลย บ้านไม้ยกสูงทุกหลังจะมีไซดักปลาอยู่ใต้บ้าน แค่หยิบไซไปดักหน้าบ้านก็มีปลากินแล้ว

“แต่เดี๋ยวนี้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ปลาก็ไม่มีเหมือนเดิมแล้ว ก็เลยอยากเล่าเรื่องนี้ผ่านงานดีไซน์ เราเลยออกแบบกระเป๋าให้เป็นรูปทรงไซดักปลา เพื่อให้คนตระหนักว่า บ้านเมืองเราเคยอุดมสมบูรณ์กว่านี้ และอยากให้คนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด”

ด้วยแนวคิดที่ผสมผสานเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมกับกระบวนการผลิตแบบ Zero Waste ทำให้ กระเป๋า Morph ได้รับคัดเลือกไปจัดแสดงในงาน Milan Design Week ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของนักออกแบบทั่วโลก

นงนุชเล่าว่า เดิมทีในตลาดกระเป๋าส่วนใหญ่มักพบเห็นกระเป๋าหนังกับกระเป๋าผ้าเป็นสินค้าที่แยกหมวดกัน แต่เธอเลือกผสมผสานวัสดุให้ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและการใช้งานจริงจากความต้องการของลูกค้า คำนึงว่ากระเป๋าผ้าไหมแบบไหนที่ลูกค้าอยากได้ คำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน ส่วนไหนของกระเป๋าที่ต้องรับแรงและสัมผัสบ่อย เช่น ก้นกระเป๋าและหูจับ ก็เพิ่มความแข็งแรงและยืดอายุการใช้งานในส่วนนั้นด้วยวัสดุหนัง ซึ่งการออกแบบโดยคำนึงถึงอายุการใช้งานและวงจรชีวิตสินค้า (product life cycle) นี้เองที่เป็นหัวใจของการออกแบบสินค้าที่ยั่งยืน

Customer-centric is the New Hype   

ช่วงปีที่ผ่านมา หนึ่งในกระแสแฟชั่นที่มาแรงคือกระเป๋าใบจิ๋ว ซึ่ง SALETE ก็มีคอลเลกชั่น Baby Bag ออกมาเช่นกัน แต่ที่มาไม่ใช่เพราะตามเทรนด์ แต่มาจากการใช้เศษผ้าและเศษหนังให้เกิดประโยชน์สูงสุดเช่นเดิม

“เราไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าต้องออกแบบรุ่นนี้รุ่นนั้น แต่จะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อมีเศษผ้าหรือเศษหนังเหลือ และเมื่อทำออกมาแล้ว ลูกค้าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือเศษ เพราะมันน่ารัก เราอยากให้คิดว่าดีไซน์ช่วยแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เช่น กระเป๋ารุ่นสำหรับใส่โทรศัพท์ของเราก็เกิดจากลูกค้าชอบใบเล็กแต่ใส่มือถือไม่ได้ รุ่นนี้เพิ่งออกเมื่อต้นปี และฟีดแบ็กดีมาก” 

“ทุกวันนี้เวลาทำสินค้าออกมา กระเป๋าเราจะมีขนาดเยอะมากเลยนะ ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงใหญ่ ทั้งที่ตอนเริ่มมีเพียงสองไซส์ แต่ทุกครั้งเวลาที่เราเจอลูกค้า เราจะฟังว่าเขาอยากได้อะไร แล้วพัฒนาต่อให้ตรงใจ มันอยู่ที่ว่าเราฟังเขาไหม เราก็ปรับไซส์มาหลายรอบ เล็กไปก็ไม่ดี ใหญ่ไปก็ไม่สวย มันอยู่ที่ความพอดี”

เคล็ดลับอีกอย่างในการออกแบบอย่างยั่งยืนคือทําให้คนรู้สึกว่าซื้อกระเป๋าผ้าไหมหนึ่งใบแล้วใช้ได้คุ้ม ซื้อมาแล้วอยากเก็บไว้ใช้ตลอด 

“เราพยายามแก้ pain point ของการใช้ผ้าไหมทีละจุด อย่างกระเป๋า ‘ParnPum (พานพุ่ม)’ นี้ เกิดจากเดิมทีหลายคนมองว่ากระเป๋าผ้าไหมดูแก่ เราเลยออกแบบให้เป็นทรงที่มีความโมเดิร์นขึ้น แรงบันดาลใจมาจากพานพุ่มดอกไม้แบบไทยๆ ซึ่งปกติเราคุ้นเคยกับทรงนี้และกลีบดอกไม้ที่ฐาน เรานำ shape & form เดิมมาเรียบเรียงใหม่ให้เรียบง่ายขึ้น ใช้งานได้ง่ายขึ้น ปรับฐานให้มีความ geometric และผสมผสานกับผ้าไหม กลายเป็นดีไซน์ที่มีความคมของเหลี่ยมมุมแต่ก็ยังคงความนุ่มนวลของผ้าไหม รุ่นนี้เลยมีความคอนทราสต์ในตัวเอง และเป็นทรงที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน ลูกค้าเห็นแล้วมักจะพูดว่า แปลกดี ไม่เคยเห็นมาก่อน”

“อย่างคอลเลกชั่น Tube ก็เป็นทรงออริจินัล ที่เป็นทรงสูง รุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ทําให้คนรู้จัก SALETE โจทย์คือเราอยากให้การใช้ผ้าไหมมีความยืดหยุ่นขึ้นในไลฟ์สไตล์และใช้ได้ทุกวัน มันเลยเป็นรุ่นที่ปรับทรงได้ เป็นทรงที่รูดแล้วกลายเป็นสามเหลี่ยมได้ แต่วันไหนที่ของเยอะก็ขยายความจุได้มากขึ้นเป็นทรงที่ตอบโจทย์สำหรับคนชอบฟังก์ชั่นแบบนี้” จะเห็นได้ว่าแรงบันดาลใจในคอนเซปต์ของแบรนด์ SALETE ในหลายคอลเลกชั่นมักมาจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตไทย นอกจากไซดักปลา พานพุ่ม ยังมีกระเป๋าที่ออกแบบจากความชอบในสไบไทย และทำเป็นผ้าที่ยืดได้ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งาน

ด้วยรูปทรงกระเป๋าเอกลักษณ์ที่ไม่ค่อยมีใครทำมาก่อน ทำให้นงนุชผ่านกระบวนการทดลองทำ prototype และ mockup มาเยอะมากกว่าดีไซน์กระเป๋าจะลงตัว ยังไม่รวมกระบวนการปรับแก้ตอนผลิตจริงกับโรงงานที่ต้องใช้เวลา แต่การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้ก็ส่งผลลัพธ์อันน่าชื่นใจที่สามารถสร้างมูลค่าทางดีไซน์ได้จริง และเมื่อสินค้าโดดเด่นก็ช่วยลดแรงในการทำการตลาดได้อีกต่อ 

Win Hearts and Sales with Unique Design

กระเป๋าแบรนด์ SALETE วางขายในทำเลสำคัญใจกลางเมืองอย่างเซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลภูเก็ต เอ็มโพเรียม และไอคอนสยาม รวมถึงโรงแรมระดับ 5-6 ดาว โดยอนาคตอยากเพิ่มการวางขายตามร้านค้าในโรงแรมให้มากยิ่งขึ้นอีก เพราะนอกจากคนไทยแล้วยังมีกลุ่มลูกค้าแฟนคลับแบรนด์ที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นกลุ่มสำคัญทั้งจากจีน สิงคโปร์ อาหรับ ยุโรป และอเมริกา

“SALETE ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่นะ เป็นแบรนด์เล็กๆ ความจริงเราเป็นดีไซเนอร์ที่ไม่ถนัดการตลาดด้วย แต่ลูกค้ารู้จักเราจากการบอกปากต่อปาก เพราะหนึ่ง ดีไซน์มีเอกลักษณ์ สอง พอคนรู้ว่าเป็นผ้าไหมก็มีความว้าว ลูกค้าของ SALETE เลยมีทั้งคนที่ชอบผ้าไหมอยู่แล้ว และคนรุ่นใหม่ที่ปกติไม่สนใจผ้าไทย แต่เห็นกระเป๋าเราแล้วอยากลองใช้กระเป๋าจากผ้าไหมขึ้นมา มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ทำให้ใจฟู”

นงนุชเล่าว่าอนาคตอยากขยายไปสู่การออกแบบงานหัตถกรรมไทยประเภทอื่นที่หลงใหล เพราะอยากอนุรักษ์งานประเภทอื่นนอกจากผ้าไหม เพิ่มไลน์สินค้าที่หลากหลายและต่อยอดไปสู่หมวดอื่น เช่น ของแต่งบ้าน โดยมีเป้าหมายคือให้งานหัตถกรรมเหล่านี้สนับสนุนชุมชนได้จริง 

เมื่อนึกถึง waste หลายคนอาจนึกถึงภาพขยะในถังขยะเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วที่มาของ waste เกิดจากสิ่งที่ผู้คนมองว่าไร้ค่าและไร้ราคา เช่น เศษผ้า เศษหนังที่เหลือใช้จากการผลิต รวมถึงการมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีมูลค่าอย่างผ้าไหม

การนำวัสดุและงานหัตถกรรมมาเพิ่มคุณค่า เติมความคิดสร้างสรรค์ จนกลายเป็นสิ่งที่ใครๆ อยากครอบครองแบบแบรนด์ SALETE คือหัวใจของการสร้างมูลค่าใหม่แบบยั่งยืนที่ใครๆ ก็ทำตามในแบบของตัวเองได้ แค่ใส่หัวใจลงไปในงาน

ขอบคุณรูปจากแบรนด์ SALETE 

Tagged:

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like