Too Cute to Handle

Labotte แบรนด์รองเท้าน่ารักแบบลูกคุณหนู โดยชายผู้ได้ไอเดียธุรกิจจากการเดินสยามกับเพื่อน

ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นลูกค้าของแบรนด์รองเท้าผู้หญิงสายหวานอย่าง Labotte มาก่อนหรือไม่ เราเชื่อว่าข้อมูลสั้นๆ 3 ข้อต่อไปนี้จะทำให้คุณเริ่มสนใจในเส้นทางการเติบโตของ Labotte ไม่มากก็น้อย

หนึ่ง–Labotte ก่อตั้งขึ้นในปี 2018 จากแพสชั่นของผู้บริหารหนุ่มอย่าง ‘โต้ง–กัลป์ เตชะศรินทร์’ ในขณะที่เขาเรียนอยู่ชั้น ม.6 และมีอายุได้เพียง 18 ปี

สอง–หลังวิกฤตโควิดผ่านพ้น Labotte ก็ยิ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว นับแค่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา องค์กรมีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น 10 เท่าตัว ในขณะที่ยอดขายพุ่งทะยานจาก 10 ล้านบาท สู่ 70 ล้านบาท

สาม–ณ วันแรกของ Labotte โต้งมีเงินทุนตั้งต้นเพียงแค่ 40,000 บาทเท่านั้นเอง

“เราเริ่มด้วยเงิน 40,000 บาท เป็นค่าของไปแล้ว 35,000 อีก 1,500 เป็นค่าจ้างช่างภาพที่เป็นเพื่อนกัน เหลือเงินอีก 3,000 กว่าบาทเอาไปซื้ออุปกรณ์ เหลือเงินติดตัวแค่ประมาณ 2-3 พันสำหรับหมุนธุรกิจ” โต้งเริ่มแจกแจงถึงงบประมาณในช่วงตั้งไข่

ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าลงทุนทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนไม่จบชั้นมัธยม และไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าเสี่ยงเพื่อให้แบรนด์เติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาอันสั้นเหมือนกับที่โต้งทำ เบื้องหลังความสำเร็จทั้งหมดนี้ยึดโยงกับความเชื่อของ Labotte ที่แข็งแกร่งเสมอมาตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ 

และเป็นความเชื่อที่จะพาให้รองเท้า Labotte คู่นี้เดินไปสู่จุดหมายต่อไปได้อย่างมั่นคง

ช่องว่างในตลาดรองเท้าสยาม

“Labotte เริ่มขึ้นตอนผมอยู่ ม.4 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมคิดอยากทำธุรกิจ พยายามมองหาโอกาสไปเรื่อยๆ วันหนึ่งผมไปเดินเล่นกับเพื่อนที่สยาม มีเหตุให้ต้องไปซื้อรองเท้ากับเพื่อนผู้หญิงที่ร้านมัลติแบรนด์สโตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งพอเทียบกับร้านรองเท้าทั่วไปในสยามที่เขาวางขายแบบกองทับๆ กัน ปรากฏว่าดีไซน์ของรองเท้าตรงนั้นกับในร้านมัลติแบรนด์มันเหมือนกันหมดเลย แต่ราคาต่างกันมากคือข้างนอกขายคู่ละ 200 แต่ในร้านกระโดดไปประมาณ 1,000 บาท”

จากเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้โต้งได้ข้อสังเกตเกี่ยวกับธุรกิจรองเท้าแฟชั่นผู้หญิงเอาไว้ในใจทั้งหมด 3 ข้อด้วยกันคือ

1. ขาดความหลากหลายของดีไซน์

2. ขาดตัวเลือกรองเท้าราคากลางๆ ในช่วง 500-600 บาท 

3. มีช่องว่างที่น่าจะพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้นกว่านั้นได้อีก

ข้อสังเกตทั้ง 3 นี้เองที่กลายเป็นทั้งกับดักและแรงขับเคลื่อนของ Labotte ในเวลาต่อมา

2 ปีผ่านไป โต้งในวัย 18 ปีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จและเริ่มมีเวลาว่างสำหรับการลงมือทำธุรกิจ แม้ว่าในใจของเขามีไอเดียธุรกิจหลายอย่าง แต่ตอนนั้นเองที่เขาได้พบกับโรงงานรองเท้าแห่งหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ ประจวบเหมาะกับไอเดียแบรนด์รองเท้าผู้หญิงที่เคยทดเอาไว้ในอดีตก็ยังน่าสนใจไม่น้อย 

Labotte เปิดตัวรองเท้าทรงสลิปออน (slip-on) รุ่นแรกด้วยราคา 490-590 บาทต่อคู่ เป็นรองเท้าที่ดีไซน์แตกต่างจากตลาดรองเท้าส่วนใหญ่ในขณะนั้น ราคาสมเหตุสมผลและจับต้องได้ และสุดท้ายคือคุณภาพรองเท้าเหมาะสมกับราคา ตามความตั้งใจแรกของโต้งที่อยากตอบโจทย์ pain point ทั้ง 3 ข้อที่เขาเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้

“แต่ความท้าทายอย่างแรกก็คือรองเท้าเป็นสินค้าที่มีไซส์เยอะมาก พอเราขายไป บางไซส์มันหมดไปแล้ว เราก็ต้องใช้เงินทุนเพิ่มเพื่อจะไปสั่งล็อตใหม่ ต้องหมุนเงินแบบสุดๆ เพราะทุนเรามีไม่เยอะ อย่างที่สองก็คือเรื่องพนักงาน พอเราไม่มีทุนก็ไม่สามารถจ้างใครได้เลย ทุกอย่างผมต้องคิดเองหมด และในตอนนั้นผมก็ยังเป็นเด็กนักศึกษา เวลาเราก็มีจำกัดเพราะต้องเรียนไปทำงานไปตลอด 3-4 ปีในมหาวิทยาลัย”

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแปลกใจก็คือ Labotte ไม่ใช่ธุรกิจเพียงอย่างเดียวของโต้งในขณะนั้น เขาเล่าย้อนไปถึงช่วงวัยที่ยังรับสอนพิเศษ เปิดร้านเครื่องประดับเล็กๆ แบบซื้อมาขายไป ทั้งยังหุ้นกับเพื่อนทำบริการรับจัดอีเวนต์ เป็นช่วงเวลาที่ได้ทดลองทำงานและธุรกิจมากมาย แต่เมื่อทุกอย่างดำเนินไปถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องตัดสินใจเลือก

“เรารู้ว่าเรามีเวลาไม่พอ ก็เลยต้องเลือกว่าจะตัดอะไร ผมมองว่ารองเท้าที่เราสั่งทำจากโรงงานมานี้ดูเป็นสิ่งที่จะเป็นแบรนด์ของเรามากที่สุดแล้ว ลูกค้าก็เริ่มมีเข้ามาเรื่อยๆ แล้ว เราจึงมองเห็นโอกาสได้ค่อนข้างชัดเจน” ตอนนั้นเองที่โต้งตัดสินใจหันมาทุ่มเทเวลาให้กับ Labotte อย่างเต็มตัว

กับดักรองเท้าสลิปออน

แม้ฉากหลังในการสัมภาษณ์วันนี้คือห้องสำหรับไลฟ์สดของ Labotte ที่อัดแน่นไปด้วยรองเท้าผู้หญิงหลากสไตล์หลายสิบคู่ แต่ใครจะเชื่อว่าช่วง 2 ปีแรกของแบรนด์นั้นดำเนินมาด้วยรองเท้าสลิปออนเพียงทรงเดียว โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยายไลน์สินค้าไปสู่รองเท้าผู้หญิงทรงอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย

“เราทำแต่ทรงสลิปออนอยู่ 2 ปี เพราะความคิดตั้งต้นของเราในตอนนั้นคืออยากทำรองเท้าที่ดีไซน์แตกต่างจากในตลาด พอเขาเริ่มทำรองเท้าแตะกันเราก็ไม่ทำรองเท้าแตะเลยเพราะรู้สึกว่าคนทำกันเยอะแล้ว” โต้งเล่าย้อนกลับไปถึงความคิดในอดีตก่อนจะยอมรับ 

“ซึ่งมันคือสิ่งที่เราคิดผิดนะครับ การที่เราเลือกทำแต่สลิปออนมาตลอด พอเราอยู่ไปได้สัก 2 ปีก็ค้นพบทางตันว่ามันไม่โต เพราะลูกค้าคนหนึ่งเขาไม่ได้มีสลิปออนเยอะมากขนาดนั้น บางคนมีคู่เดียวด้วยซ้ำ มันก็เลยทำให้เราปรับมุมคิดว่าเรามีรองเท้าหลายทรงได้ แต่จะดีไซน์ยังไงให้มันเป็น Labotte ต่างหาก” 

จุดเปลี่ยนในครั้งนั้นเองที่ทำให้เราได้เห็นรองเท้าทรงใหม่ๆ จาก Labotte เป็นครั้งแรก ซึ่งนอกจากจะดึงให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำได้แล้ว ยังสามารถเปลี่ยนผู้ติดตามให้กลายเป็นลูกค้าได้อีกด้วย

“ตอนนั้นแบรนด์เราอยู่มา 2 ปี อาจจะมีบางคนที่เคยเห็นเรา แต่ก่อนหน้านี้เขายังไม่สนใจสินค้าที่เรามี เขาอาจจะแค่กดฟอลโลว์เราเอาไว้เฉยๆ แต่พอเราออกรองเท้าแตะของ Labotte รุ่นแรก เราก็เห็นเลยว่าคนให้การตอบรับที่ดี ทำให้ปีนั้นเราตัดสินใจออกส้นสูงมาเพิ่มอีกคู่หนึ่ง เป็นส้นสูงที่ใส่แล้วดูน่ารัก พยายามรักษาสไตล์ของแบรนด์เอาไว้อยู่”

Jovial คือชื่อรองเท้าส้นสูงรุ่นแรกของ Labotte ที่มีทรงหัวแหลมเรียบง่าย แต่โดดเด่นด้วยไข่มุกประดับสายรัดส้น ซึ่งโต้งเล่าว่าเขาเป็นคนออกแบบด้วยตนเอง

“ผมคิดว่าทรงรองเท้าประมาณนี้มันสวยอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกว่าถ้าเราแค่ทำรองเท้าเรียบๆ มันก็ไม่ได้ต่างจากส้นสูงคู่อื่นๆ ในตลาดที่มีอยู่แล้ว สุดท้าย Jovial จึงกลายมาเป็นหนึ่งใน hero product ของเราตั้งแต่ช่วงปี 2021-2022 ครับ” เขาสรุป 

รองเท้าที่น่ารักแบบลูกคุณหนู

เมื่อแบรนด์หนึ่งประสบความสำเร็จ ก็ไม่แปลกที่จะเกิดแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาร่วมแข่งขันกันในตลาดรองเท้าแฟชั่นอันดุเดือด ซึ่งโต้งยอมรับว่าผู้เล่นหน้าใหม่หลายคนทำได้ดี แต่ก็มีบางรายที่ตั้งใจเข้ามาตัดราคากันแบบซึ่งหน้า

“สิ่งหนึ่งที่เรายึดมั่น และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การปรับตัวของเราก็คือความชัดเจนในแบรนด์ ผมคิดว่าเราควรต้องชัดว่าเราจะเจาะลูกค้ากลุ่มไหนกันแน่ เราต้องชัดว่าเราทำรองเท้ามาให้ลูกค้าใส่แล้วน่ารัก เพราะไม่อย่างนั้นถึงวันหนึ่งที่คู่แข่งเริ่มเยอะขึ้นมาเราก็จะถูกกลืนหายไปกับคู่แข่งในตลาด”

จุดยืนของ Labotte ก็คือแท็กไลน์ ‘น่ารักแบบลูกคุณหนู’ ที่ลูกค้าของแบรนด์เป็นคนให้คำนิยามขึ้นมา

“ช่วงปีที่ 5-6 ของแบรนด์ เราประชุมทีมกันอยู่นานเพื่อที่จะทำ brand book ออกมา พยายามตามหาคำนิยามว่าเราคือใครกันแน่ จนสุดท้ายถึงได้ข้อสรุปจากรีวิวของลูกค้า Labotte ที่ชอบบอกว่าใส่แล้วน่ารักมาก ลูกคุณมาก จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘น่ารักแบบลูกคุณหนู’ ครับ”

แต่ความชัดเจนอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออกเมื่อต้องเจอกับคู่แข่งตัดราคาอันดุเดือด โต้งอธิบายว่ากุญแจสำคัญที่ทำให้ Labotte เติบโตขึ้นได้อย่างมั่นคงคือการปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด 

“ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เรามีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาตัดราคา เขาอาจจะมีดีไซน์หรือราคาที่ใกล้เคียงกัน เราก็ปรับตัวโดยการปรับดีไซน์ให้สินค้าของเรามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการขึ้นราคา ซึ่งจะช่วยกรองให้เราเจอลูกค้าที่ซื้อ Labotte เพราะเราเป็นเรา และทำให้ภาพลักษณ์และแบรนดิ้งไปต่อได้อีกขั้นหนึ่ง 

“เหมือนเราดึงตัวเองออกมาจากตลาดที่แข่งขันกันด้วยราคาเป็นหลัก จากพื้นที่ที่เราเคยเข้าไปในวันแรก วันนี้มีคนทำแทนเราแล้ว เลยเป็นจุดที่เราคิดว่าคำว่าจุดยืนด้านราคาของเราอาจต้องถูกตีความใหม่ มันเป็นสิ่งที่เราเห็นภาพมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าตลาดนี้มีเราได้ ยังไงมันก็จะมีคนอื่นเข้ามาตรงนี้ได้เหมือนกัน ก็เลยเป็นการตัดสินใจที่เรารู้ตัวมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่ามันน่าจะต้องขยับมาเป็นประมาณนี้”

ในแง่ของการตัดสินใจไม่ได้ยากมาก แต่เขาเผยว่าตอนทำให้เกิดขึ้นจริงอย่างการขยับแบรนด์ขึ้นไปสู่อีกระดับจริงๆ คือสิ่งที่ยากกว่า 

รองเท้าที่ใส่สบายขึ้นเรื่อยๆ

คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ความท้าทายใหญ่ที่สุดของคนทำรองเท้าคือการออกแบบรองเท้าให้สวยและใส่สบายไปพร้อมกัน เพราะอย่างที่ผู้หญิงทุกคนรู้ดีว่า รองเท้าที่ใส่แล้วสวยมักจะกัด ส่วนรองเท้าที่ใส่แล้วกัดก็มักจะไม่สวย

Labotte เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี และยังไม่หยุดที่จะพัฒนารองเท้าให้สวยและใส่สบายขึ้นในทุกวัน

“วัสดุและคุณภาพมีผลต่อธุรกิจของเราโดยตรงแน่นอน เพราะถ้าลูกค้าซื้อไปแล้วมันไม่ดี โอกาสซื้อซ้ำก็น้อย มันเลยเป็นเหตุผลที่เรายังต้องพัฒนาสินค้าอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ หลายรุ่นที่ขายดีก็ยังเตรียมมีการอัพเกรดครั้งใหญ่ 

“อย่างรุ่น Jovial ก็กำลังจะมีการอัพเกรดใหม่ที่คุณภาพจะดีขึ้นตั้งแต่ส้น พื้นรองเท้าที่หนึบขึ้น อินโซลด้านในที่จะซัพพอร์ตเท้าได้ดีขึ้น พื้นนิ่มขึ้น หรือหนังข้างๆ ที่จะยับได้ยากขึ้น หัวไม่บุบ” โต้งอธิบายถึงรายละเอียดเล็กๆ ในรองเท้าแต่ละคู่ที่ต้องใส่ใจ หมั่นเก็บฟีดแบ็กที่จะเป็นประโยชน์ทั้งการอัพเกรดสินค้าเดิม และพัฒนาสินค้าใหม่ๆ

ถึงอย่างนั้น ด้วยจุดยืนการเป็นแบรนด์รองเท้าแฟชั่นก็ทำให้ Labotte มีเวลา เรนจ์ราคา และข้อจำกัดในการพัฒนาสินค้าหลายรุ่น จึงเป็นที่มาของการแตกแบรนด์ย่อยอย่าง Labotte Classic

“เราตัดสินใจปล่อย Labotte Classic ช่วงต้นปี 2025 เพื่อรีไฟน์ดีไซน์ไปสู่ความเรียบหรูขึ้น ใส่สบายขึ้น และพัฒนาคุณภาพในทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่การเลือกวัสดุ ไปจนถึงการเก็บรายละเอียดงานคราฟต์ของรองเท้าแต่ละคู่

“ตอนแรกที่แยกซับแบรนด์ออกมาเราพบว่ามันยังใกล้กันเกินไป เพราะเราพยายามซอยฐานลูกค้าเดิมของ Labotte ออกเป็น 2 กลุ่ม จากกลุ่มลูกค้าเดิมเราคือผู้หญิงอายุ 18-30 ปี พอเราพยายามตัดที่อายุ 25 มันเลยทำให้เราแยกเซกเมนต์ได้ลำบาก ดีไซน์ที่ออกแบบมาก็ดูจะอยู่ได้ทั้งสองแบรนด์ 

“ตอนนี้เราเลยต้องมากำหนดกันใหม่ว่า Labotte ทาร์เก็ตตั้งแต่ 16-30 ในขณะที่ Labotte Classic คือ 25-40 คือเราพยายามฉีกให้มันห่างกันมากขึ้น ทั้งเรื่องเซกเมนต์ คุณภาพ ภาพลักษณ์ ราคา” 

แต่ไม่ว่าจะเป็น Labotte หรือ Labotte Classic สิ่งหนึ่งที่โต้งและทีมยังคงยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลงก็คือการแก้ pain point ที่เขาพบตั้งแต่วันแรก ด้วยดีไซน์ไม่ซ้ำใคร ราคาเข้าถึงได้ และมีคุณภาพเหมาะสม

รองเท้าฮีโร่โปรดักต์คู่ใหม่

“นอกจากดีไซน์ ราคา และคุณภาพ มีอะไรที่คุณมองว่าสำคัญกับธุรกิจอีกบ้าง” เราถาม

“การบริหาร” โต้งตอบโดยแทบจะไม่ต้องคิด 

“เพราะพอบริษัทเริ่มใหญ่ขึ้น ทีมใหญ่ขึ้น คำถามคือเราจะบริหารยังไงให้เรายังเติบโตต่อไปได้อย่างมั่นคงในธุรกิจแฟชั่นที่ค่อนข้างผันผวน ถ้าเราไม่สามารถนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้เรื่อยๆ สม่ำเสมอ วันหนึ่งเราก็อาจจะสูญเสียจุดยืนในตลาด และอาจจะขาดทุนในที่สุด ดังนั้นการทำให้เราเติบโตไปได้เรื่อยๆ อย่างมั่นคงก็ถือเป็นความท้าทายที่ใหญ่พอสมควร”

เมื่อพูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Labotte เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดก็คงหนีไม่พ้นความสำเร็จในขวบปีที่ 4 ของแบรนด์ หลังจากที่ปล่อยรองเท้า Mary Jane รุ่น The Classic Jane ออกมาได้อย่างถูกจังหวะเวลาจนกลายเป็นกระแส 

“สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการตัดสินใจที่จะสเกลบริษัทในช่วงนั้นทันที เราขยับจากทีม 5 คนกลายเป็น 25 คนภายในหนึ่งปี และกลายเป็น 40-50 คนภายในสองปี เพราะเราเห็นแล้วว่ารุ่นนี้เป็นกระแสและได้รับความนิยม แต่กระแสที่มันมาไวแบบนี้มันจะไปไวเช่นกัน 

“ดังนั้นเราจึงมองว่าถ้าไม่รีบสเกลบริษัทตอนนี้เพื่อตามหา the next hero product ภายใน 2-3 ปีเราตายแน่นอน เรารู้ว่าถ้าไม่ยอมเสี่ยงตอนนี้ วันหนึ่งมันก็จะไป” 

ผลลัพธ์ของความเสี่ยงในวันนั้นก็ออกมาในรูปแบบของรองเท้ารุ่น Rookie ที่กลายมาเป็นฮีโร่โปรดักต์ตัวใหม่ได้สำเร็จ ด้วยการพารองเท้าทรงแมรี่เจนไปเจอกับความเป็นรองเท้าสนีกเกอร์ โดยคงชิ้นอะไหล่อันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ พร้อมเติมลวดลายโลโก้ของแบรนด์เข้าไปที่ด้านข้างของตัวรองเท้า แน่นอนว่าสิ่งที่เติบโตขึ้นตามขนาดบริษัทก็คือยอดขายที่พุ่งทะยานขึ้นถึง 7 เท่าตัวในระยะเวลาสองปี

“อีกข้อที่สำคัญคือการพัฒนาคน เราอยากทำให้คนคนนั้นเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของเขา การมีรองเท้าที่สวยๆ อาจทำให้คนใส่ได้กลายเป็นเขาในเวอร์ชั่นที่ดูสวยขึ้น น่ารักขึ้น เป็นเวอร์ชั่นที่เขาชอบที่สุด ย้อนกลับมาที่พนักงานของเรา เราก็อยากให้พนักงานของเราได้เติบโตเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวเอง เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องช่วยไกด์ให้เขาเก่งขึ้นในทุกวัน ซึ่งการจะทำแบบนั้นได้คือเราต้องมีไฟที่จะเรียนรู้ ต้องผลักดันตัวเองให้เก่งขึ้นก่อน เพราะถ้าเราไม่เก่งขึ้นทีมก็จะไม่เก่งขึ้นเหมือนกัน”

รองเท้าที่จะพาแบรนด์ไทยไปบุกต่างประเทศ

โต้งเล่าว่าความฝันก้าวต่อไปของ Labotte คือการก้าวไปเป็น house of brand และเป็นแบรนด์ไทยที่เติบโตไปสู่ระดับโลก ซึ่งการขยายซับแบรนด์อย่าง Labotte Classic ถือเป็นก้าวแรกของความฝันดังกล่าว

“เรารู้สึกว่าแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาในไทยเยอะ แต่แบรนด์ไทยที่ได้ไปต่างประเทศอาจจะยังไม่เยอะมากนัก ในอนาคตเราอาจทำแบรนด์เสื้อผ้า หรือแบรนด์อื่นๆ ที่คนไทยภูมิใจ และทำให้เราเติบโตขึ้นไประดับโลกได้ 

“ซึ่งจากเป้าหมายนี้ มันทำให้มุมมองของเราเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่เราเคยคิดว่าจะไปโกลบอลได้เราต้องชนะคู่แข่งในไทย แต่การทำแบรนด์มาถึงจุดหนึ่งทำให้เราพบว่ามันไม่ใช่ winner takes all ไม่ใช่ว่าลูกค้าซื้อเราแล้วเขาจะไม่ซื้อคนอื่น เขาซื้อเราเพราะเราเป็นเรา เพราะเราน่ารัก และเขาอาจจะซื้อคู่แข่งเพราะมันถูกต้องในสไตล์อื่น

“ความสัมพันธ์ของแบรนด์ในตลาดตอนนี้ไม่ใช่การฆ่ากันให้ตาย แต่เป็นการที่เราก็ทำให้เขาเก่งขึ้น และเขาก็ทำให้เราเก่งขึ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งเราทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เราดูดี เขาก็จะทำให้ภาพลักษณ์แบรนด์เขาดูดี ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้แบรนด์ไทยเก่งและแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ เราจะเติบโตไปด้วยกัน และหลังจากนี้เราก็จะได้พากันไปบุกต่างประเทศได้” เขาทิ้งท้าย

 

What I’ve Learned

  1. Passion ต้องหาแพสชั่นให้เจอ เพราะการทำแบรนด์คือการทำไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ เพราะฉะนั้นคนทำต้องสนุกกับสิ่งที่ทำก่อน ถ้าทำแล้วไม่ชอบ ต่อให้แบรนด์มันประสบความสำเร็จมันก็จะไม่เติมเต็ม
  2. Opportunity การจะทำธุรกิจอะไรสักอย่างหนึ่งก็ต้องดูเรื่องโอกาสด้วย แค่แพสชั่นคงไม่พอ คุณชอบอย่างเดียวแต่ไม่มีโอกาสก็คงไม่ประสบความสำเร็จ
  3. Never Give Up สุดท้ายคือคุณต้องอย่ายอมแพ้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเนื้อหา

Tagged:

Writer

เรียนจบในยุคโควิด-19 เยียวยาใจด้วยการนอนดูซีรีส์เกาหลีและกินของอร่อย

You Might Also Like