Kid การณ์ไกล

Kids Go Tri ทีมสอนวิ่งและไตรกีฬา เบื้องหลังทุกคนที่อยากวิ่ง และผู้ป่วยที่อยากดีขึ้นในทุกวัน

แม้หลายคนจะมองว่าการวิ่งคือเรื่องสุดสามัญ เพียงแค่สวมรองเท้า ออกไปข้างนอก แล้วก้าวขา กระโดดไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก็นับว่าเป็นการวิ่ง กิริยาที่มนุษย์พึงทำได้ไม่ต่างกับเดิน นั่ง หรือกระโดด แต่อย่างใด–แต่ในโลกที่ใครต่อใครก็สามารถวิ่งได้ ถ้าเราอยากพัฒนา อยากเพิ่มขีดความสามารถในการวิ่งล่ะ ควรต้องทำยังไง 

นั่นเป็นเหตุให้ ศตวรรษ แสงอินทร์ หรือ โค้ชแบงค์ เข้ามาจับธุรกิจนี้ในนามชื่อทีม Kids Go Tri  

จากทีมที่ก่อตั้งเพื่อพัฒนาเยาวชนให้เล่นไตรกีฬาและรักการออกกำลังกายในระยะยาว ด้วยวิธีการฝึกสอนที่สนุก เอาจริงเอาจัง และปรับให้เหมาะกับนักกีฬารายบุคคล ผสมกับบรรยากาศในทีมที่มีความสนุก เป็นกันเอง และช่วยกันผลักให้ถึงเป้าหมายการวิ่ง 

ปัจจุบัน Kids Go Tri เติบโตอย่างก้าวกระโดด มีนักกีฬาในทีมกว่า 250 คน จนโค้ชแบงค์ต้องตัดสินใจลาออกจากงานประจำ หันมาจับธุรกิจตรงนี้อย่างเต็มตัว จากแค่ฝึกสอน กลายเป็นทีมที่สร้างทั้งชุมชนและโอกาสทางธุรกิจ เพราะปัจจุบัน Kids Go Tri แบ่งขาธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน 

ทั้งการฝึกสอนที่เน้นคุณภาพในแบบเฉพาะบุคคล ด้วยการออกแบบตารางฝึกสอนผ่านผลเลือดของนักกีฬา (lactate test) และเป็นทีมออร์แกไนซ์ที่จัดอีเวนต์วิ่งให้แบรนด์ต่างๆ ด้วยฐานนักกีฬาที่หลากหลายและมีคุณภาพ อีกทั้งยังเจาะตลาดกลุ่มนักวิ่งทั่วไป ด้วยการขายสินค้าสำหรับวิ่งที่ควรมีติดตัวไว้

ในช่วงเช้าตรู่ ที่สวนแห่งหนึ่งย่านชานเมือง Capital นัดโค้ชแบงค์มาร้อยเรียงเรื่องราวตั้งแต่วันแรก ที่คำว่า ‘วิ่ง’ เริ่มกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตเขา วันที่ต้องตัดสินใจว่าจะทำงานประจำหรือเป็นโค้ชวิ่งต่อ จนถึงวันที่ Kids Go Tri มีทิศทางธุรกิจที่ขยายออกไป เพื่อรองรับความต้องการของสังคมวิ่งในประเทศไทยให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น

ช่วงนี้คนหันมาวิ่งกันมากขึ้น สงสัยว่าคุณเริ่มวิ่งกับเขาเอาตอนไหน

ต้องบอกว่าตัวผมเองวิ่งมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เริ่มจากการที่ตัวเองเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ฟุตบอล แบดมินตัน ลีลาศ ซึ่งกีฬาพวกนี้ ส่วนหนึ่งของการซ้อมก็ต้องมีการวิ่งอยู่เสมอ เราเลยจะได้วิ่งอยู่ตลอด 

ในตอนนั้นมันสนุกแบบตอนนี้ไหม ตอบได้เลยว่าไม่ มันเหนื่อยมากนะ กับการวิ่งแต่ละครั้ง แต่ว่ามันกลับมีความสุขตรงที่พอเรารู้ตัวว่าเริ่มวิ่งได้ เลยลองไปสมัครงานวิ่ง แล้วเรากลับได้รางวัลติดมือกลับมา ได้ยืนอยู่บนโพเดียมรับรางวัล ผมชอบความรู้สึกแบบนั้น 

แต่จุดเปลี่ยนจริงๆ ที่ทำให้หันมาวิ่งจริงจัง คงเป็นจังหวะที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ไปเดินสายแข่งฟุตบอลไม่ได้แล้ว เลยคิดว่าน่าจะมาลองจริงจังกับสิ่งที่ทำมาตลอดอย่างวิ่งดูสักครั้ง

เหมือนการวิ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และดูเหมือนว่าจะมีแววในด้านนี้อยู่ตลอด

มีแววไหมไม่รู้ 

รู้แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เราทำสิ่งนี้มาตลอด ไม่เคยหยุดเลย แล้วประกอบกับกีฬาอื่นๆ ที่ผมเล่นมันมีทั้งต้องใช้พลัง (power) และความอดทน (endurance) เลยทำให้วิ่งได้ดี ได้ถูกต้องมากขึ้น

ในตอนนั้นคุณตั้งเป้าหมายในการวิ่งเอาไว้ยังไง

ตอนแรกไม่ได้มีภาพในหัวเลยว่าต้องเป็นยังไง แต่เวลาวิ่ง เราก็อยากชนะตัวเองตลอด หมายถึงเวลาที่ดีขึ้น แน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ดีขึ้นทุกครั้ง แต่เราก็ตั้งใจไว้ว่า ในระยะ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่งจาก 50 นาทีมาเหลือ 40 นาทีกว่าได้ ก็ตามเป้าหมายแล้ว

แล้วหลังจากนั้น เราก็เริ่มคึกไปมองว่าขนาดคนที่วิ่งช้ากว่าเรา เขายังวิ่งระยะที่ไกลกว่าได้ เลยตัดสินใจสมัครวิ่งระยะมาราธอน โดยที่ไม่มีความรู้ว่าต้องซ้อมยังไง และไม่ซ้อมด้วย เพราะมั่นใจว่าทำได้ 

ปรากฏว่า

มันเจ็บ 

จริงๆ ตอนแรกก็วิ่งได้นะ ผมออกตัวอย่างมีสติ ซึ่งก็อาจจบอย่างไม่เจ็บด้วย แต่พอวิ่งไปสักพักเริ่มสนุก เลยลองเพิ่มความเร็วขึ้นมาเรื่อยๆ จนตะคริวกินตั้งแต่ข้อเท้ายันสะโพก 

หลังจากแข่งเสร็จใช้คำว่าเดินแทบไม่ได้ ลากขาแบบก้าวต่อก้าว แล้วก็เจ็บต่ออย่างนั้นเกือบปี เจ็บแบบนั่งบนรถตู้ไม่ได้เลย ต้องขอคนขับนั่งข้างหน้า ต้องพยุงตัวเองตลอด ลงสะพานลอยก็ต้องถอยหลังอยู่เกือบปี อาการเจ็บแบบไหนที่นักวิ่งเขาเป็นกัน ผมเป็นหมด 

ได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง 

เรื่องวิ่งห้าวไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีแบบแผน ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตั้งทีม Kids Go Tri ด้วย ผมเชื่อว่าพื้นฐานสำคัญมาก ก่อนหน้านี้ผมว่ายน้ำ เล่นฟุตบอล เล่นแบดมินตัน ผมมีโค้ช มีเป้าหมายมาตลอด ทำไปสักพักก็เริ่มมีพัฒนาการ ไม่เหมือนกับการวิ่งที่เรากระโดดมาเล่นเอง 

ดังนั้นมองย้อนกลับไปก็เลยคิดว่า สำหรับการวิ่ง ถ้ามีคนวางพื้นฐานให้คนที่เพิ่งเริ่มเล่นกีฬานี้ก็คงดี 

และอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งที่สำคัญจนทำให้มันเป็นคำว่า tri หรือไตรกีฬา เพราะลูกศิษย์คนแรก เขาเป็นเด็กคนหนึ่งที่อยากแข่งไตรกีฬา เขาชื่อว่าน้องอะตอม (สิรภพ กัมพลานุวัตร)

ทำไมนักเรียนคนนี้ถึงสำคัญจนถึงขนาดวางแผนทำทีมสำหรับไตรกีฬาแทนที่จะเป็นการวิ่ง

ด้วยความที่ไม่มีโค้ชคนไหนสอนน้องเขาได้เลย น้องเขาเป็นเด็กไฮเปอร์ มีความอเลิร์ตในตัวสูง คือแค่เห็นคร่าวๆ ก็ปวดหัวแล้วว่าจะสอนยังไงดี แต่อีกมุมหนึ่งเราก็มองว่าเด็กเขาอยากเล่นกีฬาให้ดี ถ้าไม่มีโค้ช ไม่มีใครสอน มันก็คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ 

ผมเลยออกจากทีมที่ตัวเองสอนอยู่มาเปิดทีมตัวเอง โดยสอนไตรกีฬาให้กับนักกีฬาคนแรก 

น้องอะตอมเป็นเหตุผลเดียว

พูดตามตรง ผมไม่ได้คิดเรื่องเม็ดเงิน เรื่องธุรกิจเลย เรามองแค่ว่าอยากจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นนักกีฬา และด้วยความที่เราก็เป็นโค้ช ได้รับความรู้จากคนที่เก่งๆ มาเยอะ เขาคายตะขาบมาให้เรามากพอแล้ว รวมถึงไปเรียนเพิ่มเติมมาด้วย จึงคิดว่าด้วยประสบการณ์และความรู้ของเราตอนนี้จะช่วยคนที่มาเรียนกับเราได้ 

ยอมรับว่าตอนแรกผมอึดอัดอยู่ เพราะมันจะมีแรงกดดันจากคนรอบข้างค่อนข้างเยอะ จากคนที่เคยซ้อมด้วยกัน เคยวิ่งด้วยกัน วันหนึ่งมาตั้งตัวเป็นโค้ชสอนวิ่ง ก็ต้องถูกตั้งคำถามอยู่แล้ว บางทีก็ถูกแซะ แรงอยู่เหมือนกัน ทั้งที่เราอยากแนะนำคน

คุณรับมือกับแรงกดดันเช่นนี้ยังไง

ก็ต้องนิ่งเข้าไว้ ทำต่อไปเรื่อยๆ ให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์เอง แต่มันโดนหนักจริง บ้างก็บอกว่าหลอกกินเงินผู้ปกครอง บ้างก็บอกขายฝันเด็กไปวันๆ ไม่เห็นแข่งแล้วจะชนะสักที ซึ่งจริงๆ เขาไม่เข้าใจแนวทางการสอนของผม 

สิ่งที่ผมคุยกับผู้ปกครองและเด็กตั้งแต่แรกคือการเล่นกีฬาได้ในระยะยาว ส่วนชัยชนะมาทีหลัง เราไม่ได้ฝึกให้เด็กต้องเก่งวันนี้ แล้วไม่กี่ปีต่อมาก็หมดไฟและเลิกเล่น ดังนั้นในช่วงปีแรก น้องชนะไม่ถึง 3 สนามด้วยซ้ำ 

ทั้งที่เราจะฝึกให้น้องชนะได้ทันทีก็ทำได้ แต่เราไม่ทำ เราอยากให้น้องได้ลองล้มเหลว แพ้ไปก่อน จะได้รู้ว่าเวลาชนะมันคุ้มค่า อีกทั้งการคว้าสำเร็จแต่ละครั้ง มันจะมีเรื่องราวให้เรียนรู้ตามมาอีกเยอะ ว่าต้องอดทนขนาดไหนถึงจะสำเร็จ 

จนปีนี้อะตอมน่าจะมีโอกาสได้แข่งไตรกีฬาในฐานะตัวแทนทีมชาติไทย ในการแข่งขันซีเกมส์แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่เราวางแผนมาเหมือนกัน 

เรียกว่าพลิกเกม

กลายเป็นถูกพูดปากต่อปาก คนที่สอง คนที่สาม ก็เริ่มเข้ามา ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็กที่พ่อแม่อยากหากิจกรรมให้เขาทำ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ความท้าทายคือเขาไม่ใช่คนที่ชอบวิ่งมาตั้งแต่แรก เราเลยต้องมาเปลี่ยนความคิดให้เขาอยากวิ่ง ทำให้การวิ่งเป็นเรื่องสนุก ทุกครั้งที่ซ้อม เราก็ต้องคิดเกมให้มันแปลกใหม่ เราเองก็ต้องเป็นเหมือนเพื่อนที่วิ่งเล่นด้วยกัน เป็นเพื่อนที่ให้ความรู้ 

อย่างอะตอม ตอนแรกไม่ยอมวิ่งเลย 200 เมตรก็เบื่อแล้ว เราต้องหากิจกรรมทำกับเขา เช่นเล่นเกม ROV ทุกรอบที่วิ่งจบ ตอนแรกผมยังไม่รู้เลยว่ามันเล่นยังไง ก็ต้องฝึก ก็ต้องยอม ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเขาเริ่มถามเองว่าวันนี้วิ่งอะไร เริ่มชินกับการได้วิ่งแล้ว 

อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดของการสอนเด็ก

จิตวิทยา และความรู้ 

การเป็นโค้ชเราต้องรู้ว่า ถ้าทำแบบนี้ จะส่งผลกระทบกับเขาในอนาคตยังไง บางทีการปั้นเด็กระยะสั้นมันอาจส่งผลดีแค่เรื่องการต่อยอดด้านการศึกษา แต่ถามว่าระยะยาว เขารักที่จะเล่นกีฬา อยากเป็นนักกีฬาไหม บางทีการสอนแบบเป็นเครื่องจักรให้เขาเก่งทันทีก็อาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นัก บางทีการฝึกให้เด็กได้เล่นกีฬาระยะยาวก็อาจดีกว่า 

แต่ก็ต้องยอมรับตามตรงว่าเป็นเรื่องยากในการเปลี่ยนความคิดให้ทั้งผู้ปกครองและเด็กเข้าใจในเรื่องนี้ ที่สำคัญการเทรนด์เด็ก ผมว่าต้องมีความรู้จริง อย่างน้อยถ้ามีใบเซอร์ฯ (certificate) รับรองว่าความรู้มันได้ผ่านตาเรามาบ้าง เรามีความรู้จริงๆ มันก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกันสำหรับผม 

ท้ายที่สุดคือจรรยาบรรณความเป็นโค้ช เพราะทุกวันนี้มันก็ยังมีโค้ชบางคนที่ฉวยโอกาส ไม่ให้เกียรตินักกีฬา ซึ่งผมมองว่าวงการกีฬาต้องมาให้ความสำคัญและแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจังได้แล้ว  

จากโค้ชให้เด็กๆ ตอนไหนที่เริ่มมีกลุ่มผู้ใหญ่สมัครมาเป็นนักเรียน

จากพ่อแม่ที่เขาพาเด็กมาฝึกกับเรา เขาอาจจะคิดว่าไหนๆ ก็มารอลูกเรียนแล้วก็มาเรียนด้วยกันเลย

ตอนแรกก็กลัวว่าเขาจะเขินนะ ว่ามาอยู่ทีมที่มีแต่เด็ก จะเป็นอะไรไหม แต่เราก็มีแผนเรื่องนี้อยู่แล้ว ด้วยการพยายามสื่อสารว่า Kids Go Tri หมายถึง ‘ความคิด’ ไม่ได้แปลว่า ‘เด็ก’ เพียงอย่างเดียว 

แล้วคุณสื่อสารกับผู้ใหญ่ยังไงว่าการวิ่งนั้นควรมีโค้ชที่สอนพื้นฐานการวิ่งด้วย 

เรื่องนี้บังคับยากนะ หลายคนบอกว่า การวิ่งไม่ต้องมีโค้ชก็ได้ ใส่รองเท้าก็ออกไปวิ่งได้เลย แต่ถ้าอยากวิ่งให้มีอาการบาดเจ็บน้อยที่สุด อยากจะแข็งแรงขึ้นไปเรื่อยๆ อยากพัฒนา อยากเอาชนะตัวเอง อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่วิ่งแล้วบาดเจ็บ ผมว่าก็ควรมีโค้ช 

ซึ่งทุกวันนี้มีตั้งแต่ผู้บริหาร ยันวินมอเตอร์ไซค์เลย ช่วงอายุนี้ก็กว้างมาก 70 แล้วก็ยังมาเรียนวิ่งกับผม

คนอายุ 70 เขาอยากมีโค้ชวิ่งทำไม

เขาอยากวิ่งเร็วขึ้น คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาวิ่งยุคเก่าที่ไฟยังไม่มอด อยากจะวิ่งให้ดีขึ้น อยากจะขึ้นไปรับถ้วยงานวิ่งสักครั้งในชีวิต ซึ่งวิธีการฝึกก็ต้องแตกต่างออกไป

แต่ด้วยวิธีการที่ผมใช้ blood test (lactate test) มันก็ตรงไปตรงมา ผลเลือดมันระบุอยู่แล้วว่าร่างกายประมาณไหนควรฝึกยังไง มันจะไม่หนักและเบาจนเกินไป เพียงแต่กลุ่มผู้สูงอายุควรจะตรวจสุขภาพควบคู่ไปด้วย 

แล้วคนที่เรียนกับ Kids Go Tri จะได้อะไรบ้าง 

อย่างแรกสุดเลย ผมจะสัมภาษณ์เขาก่อนว่า เป้าหมายคืออะไร มีความคาดหวังยังไง และมีปัญหาตรงไหนมาก่อนหน้า ผมอยากรู้แค่นี้เลย วิ่งเร็วเท่าไหร่ น้ำหนักเท่าไหร่ ส่วนสูงแค่ไหน ผมไม่อยากรู้ 

เหตุผลที่ต้องถามก่อน เพราะที่ผ่านมามีคนเข้าใจผิดว่าเรียนแล้วต้องเก่งทันที ผมเลยอยากพูดคุย อยากเล่าว่าแนวทางการสอนแบบ Kids Go Tri เป็นยังไง จากนั้นจึงออกแบบตารางซ้อมกัน 

แต่สุดท้ายแล้วผมคงไม่สามารถการันตีกับทุกคนได้ว่าฝึกซ้อมกับผมแล้วจะสำเร็จ ความสำเร็จมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตารางซ้อมอย่างเดียว มันอยู่ที่การกิน การนอน การยืดเหยียด หรือโชคร้าย วันแข่งดันป่วย ท้องเสีย หรืออากาศร้อนอบอ้าว ก็เป็นตัวแปรที่ผมควบคุมไม่ได้ 

ดังนั้นสิ่งที่ผมคิดว่าเขาจะได้กลับไปแน่ๆ คือพัฒนาการของตัวเอง รวมถึงวิธีคิดและความเข้าใจในการวิ่ง ว่ามันมีวันที่สมหวัง วันที่ผิดหวัง และอย่างน้อยที่สุด คุณก็ได้รู้ว่าขีดความสามารถในการวิ่งของตัวเองนั้น อยู่ตรงไหน และจะพัฒนาต่อยังไงได้

สำหรับ Kids Go Tri อะไรคือตัวชี้วัดว่า การฝึกสอนลูกศิษย์คนนี้สำเร็จแล้ว

ถ้าวัดอย่างง่ายที่สุดคือเวลาในการวิ่งที่เร็วขึ้น ดีขึ้น แบบนั้นหมายความว่า 1 วินาทีก็สำเร็จแล้ว

แต่ในความเป็นจริง นักวิ่งแต่ละคนเขามีเป้าหมายไม่เหมือนกัน ผมมีลูกศิษย์คนหนึ่ง เขาป่วยเป็นมะเร็ง วันแรกที่เจอกันคือวิ่งไม่ได้เลย แค่ 100 เมตรก็หอบแล้ว แต่จนทุกวันนี้สามารถวิ่ง 10 กิโลเมตร ด้วยระยะเวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆ ได้ แบบนี้ผมก็รู้สึกว่ามันสำเร็จแล้ว สำเร็จตั้งแต่พาเขามาออกกำลังกายได้

ปัจจุบันในทีมผมมีลูกศิษย์แบบนี้จำนวนหนึ่งเลย ที่เราไม่ได้คิดเงินเพราะเขายังวิ่งไม่ได้ แต่พาเขามาอยู่ในบรรยากาศของการวิ่ง พามาสนามวิ่งบ่อยๆ ให้เขาได้เจอเพื่อนๆ จนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่ง และอยากลองวิ่งดูบ้าง ส่วนตัวผมก็มองว่าเป็นความสำเร็จในแบบของ Kids Go Tri เหมือนกัน 

แต่ถ้าพูดในเชิงธุรกิจ ทำยังไงให้ Kids Go Tri ทำกำไรได้

การเป็นโค้ชวิ่งวันนี้สามารถใช้หาเลี้ยงตัวเองได้ไหม คำตอบคือได้ เพราะก่อนหน้านี้ผมก็ทำในลักษณะ personal training แล้ว ซึ่งก็ทำมาอยู่เกือบปี จนมาเริ่มคิดว่า ถ้าจะให้ลูกศิษย์ต้องจ่ายเป็นรายครั้งตลอด บางคนอาจจะมองว่าแพงจนเกินไป คือผมลองคิดต่อไปเล่นๆ ว่า ถ้าวันหนึ่งนักกีฬาในทีมมีปัญหาเรื่องการเงิน สิ่งแรกที่คงต้องตัดทิ้งไปก็ค่าฝึกสอนรายครั้งของผมเองที่ค่อนข้างสูง 

ผมเลยเปลี่ยนวิธีจากรายครั้งมาเป็นรายเดือน ทำราคาที่ทั้งคนเรียนออนไลน์และออฟไลน์ที่ทุกคนยอมรับได้ เลยทำให้แม้จะมีกำไรต่อคนน้อยลง แต่เราก็มีปริมาณนักกีฬามากขึ้น

อะไรทำให้คุณตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาจับธุรกิจนี้ คุณมั่นใจกับมันแค่ไหน

7-8 ปีก่อนหน้านี้ผมทำงานด้านไอทียังพอจัดสรรเวลาได้ แต่จุดเปลี่ยนคือการที่ผมย้ายมาทำงานด้าน product manager ซึ่งมันเป็นเรื่องใหม่และเป็นงานที่หนักมาก อีกทั้งยังต้องดูแลนักกีฬาอีก มันกลายเป็นว่าทุกอย่างไม่ทันไปหมด 

ผมต้องทำงาน 365 วันไม่มีวันหยุด กลางวันทำงานประจำ ตอนเย็นสอนวิ่ง ตอนกลางคืนกลับมาทำงานประจำอีก จนถึงจุดหนึ่งก็รู้ตัวว่าทำไม่ได้ มันหนักไป เราไม่มีเวลาให้ตัวเอง ให้ครอบครัว เลยคิดว่าถึงเวลาต้องตัดสินใจ เลือกทำเพียงงานเดียว

มันก็เป็นการตัดสินใจทิ้งเงินเดือน 6 หลัก ทุกคนก็ถามตลอดว่าจะทิ้งมันไปจริงๆ เหรอ ตอนแรกใจผม 80% อยู่ที่งานประจำอยู่เลย ตอนนั้นเราคิดว่าเหนื่อยก็ยังหยุด ยังพัก ยังขอลาได้ แต่สุดท้ายเราก็เลือกทำทีมวิ่ง เพราะเรามีความสุขกับตรงนี้มากกว่า 

การได้พาคนเกือบ 200 คนไปถึงเป้าหมาย ไปอยู่ในจุดที่เขาคาดหวังในวันแรกที่เดินมาหาเรา อะไรแบบนี้มันเติมไฟในตัวเราได้มากกว่างานประจำในตอนนั้น เลยเป็นเหตุผลว่าอยากจะลองทุ่มหมดหน้าตักกับสิ่งนี้ดู 

เมื่อต้องทำให้เป็นธุรกิจ และเป็นงานเดียวที่จะหล่อเลี้ยงคุณได้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวทางมากแค่ไหน

เมื่อก่อนผมเป็นโค้ชให้กับแบรนด์ต่างๆ เช่น Ari, Rev Runner ดังนั้นวันที่ผมตัดสินใจมาทำงานตรงนี้เต็มตัว สิ่งแรกที่ผมทำคือ ไม่เซ็นสัญญากับค่ายไหนทั้งสิ้น เพราะอยากรับงานได้กับทุกแบรนด์ 

จากนั้นต่อมาเราเริ่มทำออร์แกไนซ์เซอร์ คือทุกวันนี้ออร์แกไนซ์เวลาจัดกิจกรรมวิ่ง เขามีหน้าที่จัดงานกิจกรรมอย่างเดียว จากนั้นต้องไปจ้างคน ไปรับสมัครผู้เข้าร่วมงานก่อน แต่ Kids Go Tri เรามีทุกอย่างให้คุณหมดเลย โค้ชฝึกสอนเราก็มี ผู้เข้าร่วมงานนักกีฬาผมก็พร้อมเสมอ อีกทั้งรูปแบบงาน ทั้งการวิ่ง City Run, Competition Run หรืองานที่ไม่เกี่ยวกับวิ่ง เน้นสนุกอย่างเดียว เหล่านี้มันคือตัวตนของเรามาตลอด 

ส่วนนักกีฬาของผม บางคนเขามีแพสชั่น มีทักษะด้านต่างๆ เราก็ดึงมาช่วยงานด้วย มันช่วยส่งเสริมกันทั้งสองด้าน ทั้งการฝึกสอนและออร์แกไนซ์

ในฝั่งการทำอีเวนต์ลูกค้าส่วนใหญ่คือใคร

ส่วนมากคือแบรนด์กีฬาที่เข้ามาเลือกเรา เพราะเขาเห็นว่าเรามีกลุ่มนักวิ่งในมือเยอะ ต้องเล่าว่าปัญหาส่วนใหญ่ของแบรนด์กีฬาที่ทำอีเวนต์ประเภทให้มาลองใส่รองเท้ารุ่นใหม่ คือมักจะได้ผู้เข้าร่วมงานกลุ่มเดิมๆ รวมถึงเขามาลองแล้วอัตราการซื้อจริงๆ ไม่เยอะเท่าไหร่ 

แต่พอเป็นกลุ่มของเรา ด้วยจำนวนนักกีฬาในทีม 200 กว่าคน มันเลยผลัดหมุนกันไปร่วมแต่ละงานได้ รวมถึงคนกลุ่มนี้เขาเป็นคนที่กล้าจ่ายเงินให้กับการวิ่งอยู่แล้ว คือถ้าเขายอมจ่ายเงินมาเรียนกับเราได้ อุปกรณ์อะไรที่เขาเห็นว่าดีเขาก็พร้อมจ่ายอย่างแน่นอน 

หรือบางทีก็มาในรูปแบบงานวิ่ง ที่มาจ้างให้เราไปเข้าร่วม บางทีก็ให้โควตาสำหรับนักกีฬาในทีมไปร่วมงานวิ่งส่วนหนึ่ง แล้วให้เราทำกิจกรรมโปรโมต อย่างงานก้าวท้าใจ 10K Thailand Championship 2025 ก็มีนักกีฬากว่า 130 คนไปร่วมงาน 

คุณทำยังไงให้นักกีฬาไปวิ่งงานเดียวกันได้เยอะขนาดนี้ 

ผมเป็นคนตัดสินใจและเลือกเอง แต่เราก็อาศัยวิธีบอกคุณสมบัติของงานวิ่งนี้ ว่าถ้าวิ่งดี อากาศดี และโฆษณาต่ออีกว่า เดี๋ยวไปวิ่งกันเป็นกลุ่ม แบ่งความเร็วเป็นเพซเซอร์ให้กัน ซึ่งส่วนใหญ่มันก็จะเป็นแบบนี้ตลอด นักวิ่งที่เขาพิชิตเป้าหมายแล้ว เขามักจะกลับมาช่วยเพื่อน จนกลายเป็นวัฒนธรรมของทีม 

มีแผนจะขยายทีม Kids Go Tri ไปต่างจังหวัดไหม

มีแล้วบางส่วน เพราะจริงๆ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เพราะเราออกแบบตารางส่วนบุคคลให้ ดังนั้นอยู่ที่ไหนก็ซ้อมได้ เพราะนักกีฬาในกรุงเทพฯ เอง บางคนเขาไม่สะดวกจะมาเจอเราที่สนามวิ่งทุกคน ก็อาศัยซ้อมตามตารางของตัวเองไป

สุดท้ายแล้ว จนถึงวันนี้ การตัดสินใจมาทำ Kids Go Tri เต็มตัว ให้อะไรกับคุณบ้าง 

มีความสุข มองกลับไปกี่ครั้งตลอดเวลาที่ทำมาผมมีความสุขตลอด แต่มุมหนึ่งก็ยังมีความกังวลใจ กลัวว่าพอมันเติบโตมากขึ้น แล้วคนจะคิดว่าเราจะใส่ใจน้อยลง ตอนนี้เลยพยายามทำให้เต็มที่ ใส่ใจนักกีฬาในทีมทุกคน พยายามมองข้ามพวกคำสบประมาทไปบ้าง 

ที่สำคัญทีม Kids Go Tri ทำให้เห็นว่า ความรู้ ประสบการณ์ และความตั้งใจของเรา มันช่วยคนอื่นได้จริงๆ ก็ยังอยากทำต่อไปเรื่อยๆ อยากพาคนไปถึงเป้าหมายของการวิ่งได้มากขึ้นหลังจากนี้ 

Writer

KFC ฟิลเตอร์สตอรี่ไอจี และ Tame Impala คือสิ่งที่ทำให้ทุกวันนี้อยากมีชีวิตอยู่

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like