นโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการใช้คุกกี้

บริษัท ทุนดี จำกัด (“บริษัท”) มีความจำเป็นต้องใช้คุกกี้ในการทำงานหลายส่วนของเว็บไซต์เพื่อรับประกันการให้บริการของเว็บไซต์ที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้บริการเว็บไซต์ของท่าน โดยบริษัทรับประกันว่าจะใช้คุกกี้เท่าที่จำเป็น และมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลของท่านโดยสอดคล้องกับกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง และจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่เป็นกรณีการใช้คุกกี้บางประเภทที่อาจดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ทั้งนี้ เมื่อท่านเข้าใช้บริการเว็บไซต์ บริษัทจะถือว่าท่านรับทราบและตกลงนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้แล้ว โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ในการปรับปรุงนโยบายฉบับนี้ตามแต่ละระยะเวลาที่บริษัทเห็นสมควร โดยบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์นี้... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

222
January 27, 2025

Good Creativity

ธุรกิจที่หยิบความคิดสร้างสรรค์ มาเป็นหัวใจสำคัญในการสรรค์สร้างแบรนด์ที่ฉีกออกจากกรอบเดิมๆ

ย้อนไปเดือนนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราตั้งคำถามกับ 100 ผู้ประกอบการและตัวแทนของธุรกิจต่างๆ ว่า ‘อะไรคือทุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจที่คุณทำเติบโตมาจนถึงวันนี้’ ก่อนจะค้นพบว่าท่ามกลางคำตอบมากมาย แต่ละธุรกิจมีสิ่งที่ให้คุณค่าแตกต่างกันออกไป ไม่แน่ว่าคำตอบเหล่านั้นอาจกลายไปเป็นทุนสำคัญของธุรกิจอื่นๆ อีกต่อไป

จวบจนปัจจุบัน Capital เดินทางมาถึงขวบปีที่ 3 ผ่านการนำพาความตั้งใจที่อยากบอกเล่าเรื่องราวในโลกธุรกิจอย่างเป็นมิตรด้วยวิธีการที่หลากหลายและสร้างสรรค์ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ‘better business for good life’ เราขอเฉลิมฉลองช่วงเวลาสุดแสนพิเศษนี้ ผ่านการเชิดชูธุรกิจที่น่าจับตามองแห่งปีและทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นในหลากหลายมิติ

ผ่าน ‘CAPITAL40: 40 Businesses to Watch in 2025’  ที่พวกเราตั้งใจส่องไฟไปยัง 40 ธุรกิจที่ล้วนแล้วแต่มีผลงานอันโดดเด่นและเต็มไปด้วยวิสัยทัศน์ล้ำหน้า พร้อมพาไปดูว่าพวกเขาจะสร้างกระแสใหม่และเปิดขอบเขตความเป็นไปได้ของอนาคตได้ยังไง?

ไม่แน่ว่า 40 ธุรกิจนี้อาจเป็นแบรนด์ที่คุณหลงรัก อยากเปิดใจอยากทำความรู้จัก ไปจนถึงสร้างแรงบันดาลใจ เติมไฟให้คนทำธุรกิจ หรือชวนให้กลับมาขบคิดถึงแนวทางการทำธุรกิจตลอดปี 2025

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว

สวนสัตว์เปิดเขาเขียว : THE DYNAMIC ZOO
สวนสัตว์เปิดเขาเขียวที่ใช้ความน่ารัก และรู้จักต่อยอดมาเปิดใจนักท่องเที่ยว

WHAT’S HAPPENED :

ปีที่ผ่านมา ‘สวนสัตว์เปิดเขาเขียว’ กลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้งจากกระแส ‘หมูเด้งฟีเวอร์’ ที่ไม่ได้อาศัยแค่ความน่ารักเท่านั้น แต่ ณรงวิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ได้วางแผนทำให้หมูเด้งอยู่ในกระแสด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก อย่างการเปิดโหวตชื่อผ่านทาง Facebook สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จนมีผู้เข้าร่วมโหวตมากกว่า 20,000 คน นอกจากนั้นยังแชร์คลิปความน่าเอ็นดูของเจ้าหมูเด้งผ่านทางโซเชียลอยู่เสมอจนมีคนมาสัมผัสความน่ารักถึง 12,000 คนต่อวัน และสร้างรายได้มากกว่า 40 ล้านบาท ก่อนจะต่อยอดเป็นสินค้าต่างๆ ในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างสร้างสรรค์ ทั้งโปรโมตที่พักในสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ไปจนถึงคอลแล็บกับหลากแบรนด์ เช่น AIS, ADDA, ชาตรามือ จนทำให้ปีที่ผ่านมาคอลแล็บไปแล้วกว่า 70 แบรนด์และสร้างรายได้จากการคอลแล็บ 50 ล้านบาท

WHAT’S NEXT :

คาดว่าจนถึงเดือนมิถุนายน 2568 หมูเด้งจะสร้างรายได้จากการคอลแล็บแตะ 100-150 ล้านบาท ในขณะเดียวกันณรงวิทย์ตั้งใจจะทำตามมิชชั่นหลักคือผลักดันให้สวนสัตว์เปิดเขาเขียวเป็นสวนสัตว์อันดับ 1 ในเอเชีย และติด Top 5 สวนสัตว์ระดับโลก รวมไปถึงปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ของโลกที่เกิดขึ้น เช่น การใส่ใจในสิ่งแวดล้อมและเป็นสวนสัตว์สีเขียว และจัดสรรพื้นที่กิจกรรมรองรับกลุ่มครอบครัวและผู้สูงวัยที่มีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจับตามองว่าสวนสัตว์แห่งนี้ที่มีดาวดวงใหม่แจ้งเกิดเกือบแทบทุกปี และเล่นกับกระแสได้อย่างชาญฉลาด จะมีสัตว์ตัวไหนเป็นกระแสต่อไป เพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจให้คนไทยและชาวต่างชาติอีกบ้าง

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Cute Marketing ใช้ความน่ารักมามัดใจผู้คนให้อยากมาที่สวนสัตว์เพื่อพบปะน้องๆ

– Social Media Engagement ลงความน่ารักบนโซเชียลมีเดีย เพื่อให้เกิดการแชร์ต่อและสร้างปรากฏการณ์หมูเด้งฟีเวอร์เต็มหน้าฟีด

– Value Creation มากกว่าการแค่มาชมสัตว์แล้วก็จบไป แต่ต่อยอดสู่การทำสินค้า โปรโมตที่พัก และคอลแล็บกับหลากแบรนด์ดัง

Butterbear

Butterbear : THE HEART HEALER
น่ารักมั้ยไม่รู้ แต่ Butterbear ตกคนเข้าด้อมด้วยอินเนอร์นักฮีลใจอยู่นะรู้มั้ย 

WHAT HAPPENED : 

ธุรกิจขนมหวานที่หอมหวานที่สุดในปีนี้คงหนีไม่พ้น ‘Butterbear’ แบรนด์ขนมในเครือ Coffee Beans by Dao ที่ บูม–ธนวรรณ วงศ์เจริญรัตน์ และเบลล์–ธนาภา ปางพุฒิพงศ์ ตั้งใจให้หนีเนยดูนุ่มฟู เข้าถึงง่าย และมีเสน่ห์จากอินเนอร์ภายในที่ดูมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนมีชีวิตจริงๆ เพื่อช่วยฮีลใจผู้คน ทั้งร้อง เต้น ทำชาเลนจ์กับเหล่าไอดอล พร้อมฉีกกฎที่ว่ามาสคอตต้องเป็นตัวแทนของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเท่านั้น ด้วยการไปคอลแล็บร่วมกับแบรนด์ไทย เช่น Pipatchara, GENTLEWOMAN และการคอลแล็บครั้งใหญ่กับเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีสาขาในไทยถึง 15,000 สาขาทั่วประเทศ ทำให้หมีเนยเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ไปจนถึงแบรนด์จีน เช่น แบรนด์กาแฟ Luckin Coffee, อาร์ตทอยค่าย TOYZEROPLUS ให้แฟนๆ ได้จับจองเป็นเจ้าของกัน ทำให้ปี 2567 ที่ผ่านมามีการสำรวจของ Wisesight  พบว่า Butterbear หรือหมีเนย ครองอันดับ 3 ยอดเอนเกจเมนต์ที่คนพูดถึงบนโซเชียลมีเดียในไทย ด้วยยอดกว่า 137 ล้านเอนเกจเมนต์

WHAT’S NEXT : 

ที่ผ่านมาหมีเนยได้สร้างความผูกพันให้กับผู้คนแบบ emotional collection อย่างต่อเนื่อง จนไม่ใช่มาสคอตที่มีกระแสแล้วหายไป แต่ยืนระยะอยู่ในใจผู้คนได้ต่อผ่านท่าทีใหม่ๆ ที่คาดว่าปีนี้จะไปร่วมคอลแล็บกับสินค้าที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น เพื่อเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์และชีวิตประจำวันของผู้คน น่าจับตาต่อว่าหมีเนยจะโกอินเตอร์ไปมัดใจแฟนๆ ในต่างแดนที่ประเทศใดบ้าง นอกเหนือจากประเทศจีนที่เป็นเอฟซีตัวยงอยู่แล้ว รวมถึงการเป็นแรงบันดาลใจแจ้งเกิดมาสคอตตัวอื่นๆ ให้เป็นมาสคอต ที่มีชีวิตชีวาเหมือนกับหมีเนย

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Creative Storytelling สรรค์สร้างสตอรีอย่างสร้างสรรค์ ผ่านการวางคาแร็กเตอร์มาสคอตให้เหมือนมนุษย์

– Creative Activity ทำกิจกรรมเหมือนไอดอลสาวท่านหนึ่ง หาทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ทันกระแสอยู่เสมอ

– Creative Collaboration สร้างสีสันในทุกการคอลแล็บออกมาเป็นสินค้าสุดสร้างสรรค์

Guss Damn Good

Guss Damn Good : THE FEEL GOOD BRAND
Guss Damn Good ไอศครีมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและความรู้สึก

WHAT HAPPENED : 

ท่ามกลางความร้อนแรงของอากาศประเทศไทยก็ยังมีไอศกรีมของ ‘Guss Damn Good’ ที่ทำให้ทุกคนที่ได้สัมผัสรู้สึกเย็นทั้งกายและใจ ด้วยเสน่ห์ของเนื้อสัมผัสที่เนียน นุ่ม แต่ไม่หนักเกินไป และถึงแม้จะไม่มีท็อปปิ้งที่ดูหวือหวา แต่ในทุกคำที่ตักชิมต้องอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบและความคิดสร้างสรรค์ที่ใส่ลงไป ทำให้ไม่ว่าจะออกรสชาติใหม่อะไรมา ก็ชวนให้ตบเข่าดังฉาดว่าคิดได้ยังไง อย่างการหยิบบทเพลงของ Scrubb ออกมาทำเป็นรสชาติที่คนรัก ไปจนรสชาติที่คอลแล็บกับ 9 แบรนด์คู่ครัวไทย ซึ่งในแต่ละรสชาติ ระริน ธรรมวัฒนะ และนที จรัสสุริยงค์ จะหยิบเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา และเรื่องราวที่น่าสนใจของแบรนด์ที่มาร่วมคอลแล็บด้วย มาเปลี่ยนเป็นความรู้สึก และเอาความรู้สึกมาเปลี่ยนเป็นรสชาติ เพราะพวกเขาเชื่อว่าถึงแม้ไอศครีมจะพูดไม่ได้ แต่ทำให้คนรู้สึกดีได้ จนปัจจุบันมีกว่า 160 รสชาติ และในบรรดารสชาติเหล่านั้นเกิดจากการคอลแล็บร่วมกับอาร์ทิสต์และแบรนด์น้อยใหญ่ถึง 60 รสชาติ

WHAT’S NEXT : 

พูดถึงรสชาติไอศครีมหลายคนอาจนึกถึงรสชาติที่เป็นของหวาน แต่ในอนาคตระรินและนทีอยากฉีกกฎความคิดนี้ ด้วยการทำรสชาติของคาวออกมามากยิ่งขึ้น ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้มาสัมผัสเมนูอื่นๆ ที่ต่อยอดจากไอศครีม และแน่นอนว่าเราจะได้เห็น Guss Damn Good ไปคอลแล็บกับแบรนด์อื่นอีกเช่นเคย แต่อาจจะเป็นประเภทธุรกิจที่แปลกใหม่แบบนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าธุรกิจเหล่านั้นจะออกมาเป็นรสชาติไอศครีมอะไร เพราะพวกเขาเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไหน ทุกคนมีสตอรีที่อยากจะเล่า มีสิ่งดีๆ ที่อยากจะบอกอยู่แล้ว และน่าจับตามองเซอร์ไพรส์ในช่วงเดือนกรกฎาคมซึ่งมีวัน National Ice Cream Day หรือวันไอศครีมแห่งชาติของอเมริกา ที่ระรินและนทีตั้งใจจะมีโปรเจกต์ใหญ่ในเดือนนี้ของทุกปี

WHAT’S PRAISEWORTHY :

THE GOOD FEELING

– Story to Flavor ทุกรสชาติเกิดจากการหยิบเรื่องราวมาเปลี่ยนเป็นความรู้สึก และเอาความรู้สึกมาเปลี่ยนเป็นรสชาติ

– Lift-up Moments เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์และโมเมนต์สำคัญของลูกค้า เพื่อเปิดปุ่มความรู้สึกดีๆ แม้ในวันที่มี bad day

– Damn Good Collaborations ทุกการคอลแล็บแบรนดิ้งต้องชัดและรักษาคุณค่าของแบรนด์ไว้ให้ได้

Carnival

Carnival : THE IDENTITY COLLABORATION
คอลแล็บจนได้ดีในสไตล์ของ Carnival ที่ตัวตนชัดจนมีแต่คนรัก

WHAT HAPPENED : 

Carnival เริ่มต้นจากการเป็นที่รู้จักของสายสนีกเกอร์และสตรีทแฟชั่น จนมีคนไปนอนรอต่อแถวกันข้ามวันข้ามคืน และกลายมาเป็นร้านมัลติแบรนด์ที่ ปิ๊น–อนุพงศ์ คุตติกุล ไม่ได้ตั้งใจจะขายแค่สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ​เท่านั้น แต่มีการปั้นสินค้าแบรนด์ของ Carnival เองด้วย ซึ่งก็ได้รับการยอมรับและความนิยมจน sold out ในเวลาไม่นานและมีการรีเซลกันยกใหญ่ โดยสิ่งที่เป็นจุดเด่นของ Carnival คือโปรเจกต์คอลแล็บที่ทั้งสร้างสรรค์และสร้างกระแสได้อย่างสม่ำเสมอ โดยที่ผ่านมาพวกเขาคอลแล็บร่วมกับแบรนด์ต่างๆ มามากกว่า 200 แบรนด์ ไล่ตั้งแต่แบรนด์ระดับโลกในวงการแฟชั่นด้วยกัน เช่น Adidas, H&M, Asics, Fila หรือในวงการดนตรีอย่างวง Guns N’ Roses ที่ราคารีเซลพุ่งทะยาน ไปจนถึงคอลแล็บกับแบรนด์เตาแก๊สอย่าง Lucky Flame นอกจากนั้นในปีที่ผ่านมายังได้คอลแล็บกับแบรนด์อาหารอย่าง Burger King โดยนำ identity ของทั้งสองแบรนด์ผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งการคอลแล็บถือเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้คนรู้จัก Carnival ในวงกว้างมากขึ้น และทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นเสมอเวลามีการคอลแล็บใหม่ๆ ว่าจะมีสินค้าอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง ทำให้ Carnival มีฐานแฟนคลับอย่างเหนียวแน่นจนมีเมมเบอร์ทั้งหมด 1 ล้านราย และเป็นเมมเบอร์ระดับ Gold ถึง 2 แสนราย

WHAT’S NEXT : 

Carnival เคยคอลแล็บกับธุรกิจมาแทบจะทุกประเภท น่าสนใจว่าในปีนี้พวกเขาจะขยายความเป็นไปได้ใหม่ๆ ออกไปยังไงได้บ้าง ที่แน่ๆ ตอนนี้ Carnival ได้ก้าวสู่วงการสตรีทระดับสากลเต็มตัวจากผลงานที่ฝากไว้มากมาย แบรนด์ที่พวกเขามีโอกาสร่วมงานจึงเป็นแบรนด์ที่ชวนร้องว้าวมากขึ้นทุกครั้งที่เปิดตัว รวมถึงอีกเป้าหมายที่ปิ๊นตั้งใจจะสร้างคัลเจอร์ของสนีกเกอร์ในไทยให้ไปไกลกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค จนแบรนด์ระดับโลกมองเห็นและไว้ใจส่งโปรดักต์ exclusive มาให้คนไทยได้ซื้อโดยไม่ต้องไปลำบากรับหิ้วหรือซื้อในราคารีเซลกันอีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็อยากพาแบรนด์ไทยอย่าง Carnival ไปเจาะตลาดในต่างประเทศอีกด้วย

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Creative Collaboration การคอลแล็บไม่ใช่แค่ใส่โลโก้ลงไป แต่คือการดึงตัวตนและกลิ่นอายของแบรนด์ไปนำเสนอในสินค้าแต่ละชิ้น

– Limited Edition จำหน่ายสินค้าลิมิเต็ด ที่ต่อให้ได้รับความนิยมแค่ไหนก็จะไม่ผลิตเพิ่มหรือไม่สามารถนำเข้ามาได้แล้ว เพื่อให้ลูกค้ารีบจับจองเป็นเจ้าของและตัดสินใจซื้อได้ไวขึ้น

– Building a Fanbase สร้างฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น จากการทำสินค้าออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้น รวมถึงมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่แบรนด์สร้างสรรค์

ศรีจันทร์

ศรีจันทร์ : THE CREATIVE ADAPTATION
ศรีจันทร์แบรนด์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์มาผลักดันให้ทันสมัยอยู่เสมอ

WHAT HAPPENED : 

ท่ามกลางเชลฟ์เครื่องสำอางที่มีแต่ชื่อแบรนด์เป็นภาษาต่างประเทศ ‘ศรีจันทร์’ ถือเป็นเครื่องสำอางแบรนด์ไทยที่โดดเด่นจากการรีแบรนด์ให้ทันสมัยแต่ยังคงเสน่ห์ความเป็นไทย จนทำให้แบรนด์กลับมาเป็นที่รู้จักในตลาดอีกครั้งและขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ อย่างปีที่ผ่านมา แท็ป–รวิศ หาญอุตสาหะ พาศรีจันทร์ก้าวเข้าสู่โลกแห่งความงามอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการพัฒนาสินค้าสกินแคร์มากขึ้น ซึ่งเป็นตลาดที่มีส่วนแบ่งในตลาดความสวยความงามถึง 44% โดยเน้นสกินแคร์ที่เหมาะกับคนไทยอย่างตรงจุดในทุกสภาพผิว ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและส่วนผสมจากธรรมชาติ ส่งให้มอยส์เจอไรเซอร์ของศรีจันทร์มีมาร์เก็ตแชร์เป็นอันดับ 1 ในตลาดสกินแคร์ ถือเป็นแบรนด์ไทยที่ยังยืนหยัดบนความเป็นไทย และเติบโตในตลาดความสวยความงามอย่างเต็มรูปแบบ

WHAT’S NEXT : 

นอกจากเครื่องสำอางและสกินแคร์แล้ว เป็นที่น่าจับตาต่อว่าแท็ปจะพาศรีจันทร์ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปสู่กลุ่มสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงามและสุขภาพอะไรอีกบ้าง จากการที่แท็ปตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ปี 2025 มีอัตราการเติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 50% และไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจเห็นแบรนด์ศรีจันทร์ไปวางขายในต่างประเทศและมีชื่อเสียงโด่งดังในระดับสากลก็เป็นได้

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Strong Brand Identity จุดยืนในความเป็นแบรนด์ไทย ที่นำเสนอความเป็นไทยอย่างทันยุคทันสมัย

– Continuously Improving พัฒนาไม่หยุดยั้ง เพื่อผลักดันแบรนด์ไทยสู่สากล

– Compatible with Thai Skin ความใส่ใจในการศึกษาและวิจัยผิวพรรณของคนไทย ทำให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด

ละมุนละไม

ละมุนละไม. : THE UPCYCLE ART
ศาสตร์และศิลป์การปั้นธุรกิจศิลปะให้เป็นมิตรต่อโลกของละมุนละไม.

WHAT HAPPENED : 

ถึงแม้เซรามิกจะเป็นผลงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก แต่ ‘ละมุนละไม.’ กลับเป็นคราฟต์สตูดิโอที่ ไหม–ณพกมล อัครพงศ์ไพศาล และหนาม–นล เนตรพรหม ใช้ความละเอียดลออในการนำความคิดสร้างสรรค์มาปั้นเซรามิกและปั้นธุรกิจให้แตกต่างบนพื้นฐานการงานได้จริง  ทั้งเป็นผู้มาก่อนกาลในเรื่องสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำขยะอาหารมาเปลี่ยนเป็นจานชามเซรามิก และต่อยอดจากการทำสินค้ากุ๊กกิ๊กอย่างจานชาม เครื่องประดับ และป้ายชื่อเซรามิกขายตามงานออกร้าน สู่การทำเซรามิกแบบคัสตอมโดยเฉพาะการทำ tableware หรือเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้คาเฟ่และร้านอาหารมากมาย พร้อมฉายภาพความสำเร็จให้ใหญ่ขึ้นผ่าน You! Project ที่รวมตัว 9 ศิลปินมาสร้างสรรค์ลวดลายบนดิน แล้วผสมผสานกับเทคนิคการทำเครื่องปั้นดินเผาหลากหลายรูปแบบ รวมถึงฉลองครบรอบปีที่ 10 ผ่านนิทรรศการ Pots of Purpose: ภาชนะต้องประสงค์ที่รวบรวมเซรามิกกว่า 300 ชิ้น เพื่อเป็นตัวแทน 300 ความสำเร็จที่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ เพราะความคิดสร้างสรรค์นั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว

WHAT’S NEXT : 

ขึ้นชื่อว่าเป็นคราฟต์สตูดิโอ ไหมและหนามก็ปลุกปั้นให้เป็นสตูดิโอที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงส่งงานให้ผู้ใช้จริง ซึ่งนอกจากดินและขยะอาหารที่ใช้เป็นส่วนประกอบหลักของผลงานแล้ว ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นการหยิบวัสดุใหม่ๆ ขึ้นมาสร้างสีสันให้วงการเซรามิก เช่น งานไม้ งานผ้า งานกระดาษ และนอกจากทุกวันนี้ที่ละมุนละไม.จะใช้ร้านอาหารที่ไปร่วมออกแบบ tableware หรือเครื่องใช้บนโต๊ะให้เป็นเหมือนดั่งโชว์รูมของเขา ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้ไปเยี่ยนเยือนบ้านที่พวกเขาอยากทำเป็นสตูดิโอและหน้าร้านของละมุมละไม.ก็เป็นได้

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Design Thinking ถอดรหัสผู้ใช้ให้ถึงแก่นแท้ เพื่อปั้นงานศิลปะที่ใช้งานได้จริง

– Custom-made ดีไซน์เซอร์วิสครีเอทเซรามิกชิ้นต่อชิ้น ให้ได้งานศิลที่มีชิ้นเดียวในโลก

– Circular Design คิดครบลูปในทุกกระบวนการ เพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุดและเป็นมิตรต่อโลกมากที่สุด

Gadhouse

Gadhouse : THE HOUSE OF GADGET
Gadhouse แบรนด์ที่ถูกปลุกปั้นให้เป็นบ้านของคนรักเสียงดนตรี

WHAT HAPPENED : 

ดั่งคำกล่าวที่ว่าดนตรีเป็นภาษาสากลที่เข้าถึงคนทุกเชื้อชาติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ธุรกิจดนตรีในไทยจะไปเจาะตลาดโลก แต่ ‘Gadhouse’ แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์เกี่ยวกับดนตรีและเทคโนโลยีของ เพชร–วัชรพล เตียวสุวรรณ์ ก็สามารถเป็นที่ยอมรับในหมู่นักฟังชาวต่างชาติ จนสร้างยอดขายได้ถล่มทลาย ด้วยเสน่ห์ของเครื่องเล่นแผ่นเสียงดีไซน์สวยในคอนเซปต์ retro modern ทำสินค้ายุคเก่ามาเติมเต็มด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน และยังใส่ใจโลกผ่านการ upcycle ขยะเหลือทิ้ง เช่น กล่องนม UHT, ฝาขวดน้ำพลาสติก และขยะทางการเกษตร มาแปลงร่างให้เป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ทั้งรักษ์โลก ดีไซน์สวย และคุณภาพเสียงดีขึ้นด้วย ผ่านโปรเจกต์ REVERB by Gadhouse ที่จัดแสดงในงาน BKKDW2024 ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ของวงการเครื่องเล่นแผ่นเสียง และผลักดันให้แบรนด์เกี่ยวกับดนตรีของไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดโลก

WHAT’S NEXT : 

ในอนาคตวงการแผ่นเสียงของไทยถือเป็นช่วงขาขึ้นเลยก็ว่าได้ จากผู้เล่นในตลาดเดิมที่คงอยู่อย่างเหนียวแน่น พร้อมด้วยผู้เล่นรุ่นใหม่ผู้โหยหาอะไรที่เก่าแต่ยังเก๋ามากยิ่งขึ้น Gadhouse เองก็จะมีการพัฒนาเครื่องเล่นแผ่นเสียง ไปพร้อมๆ กับการเติมหมวดหมู่สินค้าใหม่ๆ เข้ามาทั้งเฟอร์นิเจอร์และแก็ดเจ็ต ที่ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้คนดียิ่งขึ้น ไปจนถึงการเป็นคอมมิวนิตี้ขนาดย่อมๆ ของคนรักเสียงเพลงและการฟังเพลงจากแผ่นเสียง ที่เพชรยังตั้งใจจัดอีเวนต์เพื่อรวมคอมมิวนิตี้นี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

WHAT’S PRAISEWORTHY :

– Creative Design หยิบดีไซน์เก่ามาเล่าให้ทันสมัย ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชันและแฟชั่นอย่างลงตัว

– Community Space การเป็นมากกว่าแบรนด์สินค้า แต่คือการสร้างคอมมิวนิตี้ให้คนที่ชอบดนตรีไทยแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไปจนถึงเป็นที่รู้จักในตลาดโลก

– Upcycle เป็นเสียงสะท้อนของโลก ผ่านการหยิบขยะเหลือทิ้งมาทำเป็นสินค้าที่จับต้องได้จริง

You Might Also Like