นามบัตร 5 ใบของ ‘มาริษา เจียรวนนท์’ ที่ขับเคลื่อนวัฒนธรรมและการศึกษาผ่านมูลนิธิ

หากใครแวะมาเยือน Bangkok Kunsthalle (บางกอก คุนส์ฮาเลอ) อาร์ตสเปซที่เปลี่ยนโรงพิมพ์เก่าให้กลายเป็นพื้นที่นำเสนอศิลปะร่วมสมัย น่าจะสะดุดตากับการนำเสนอผลงานของศิลปินไทยและต่างชาติในมาตรฐานระดับสากลโดยคงความดิบและเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ครบถ้วน 

ส่วนผู้ที่เคยเดินทางไป Khao Yai Art Forest (ศิลป่า)แลนด์มาร์กศิลปะท่ามกลางธรรมชาติในเขาใหญ่น่าจะประทับใจกับประติมากรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ท่ามกลางธรรมชาติ 

ทั้งสองแห่งนี้ต่างนำเสนอศิลปะร่วมสมัยในรูปแบบใหม่ที่ฉีกกรอบจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะรูปแบบเดิมในประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจ

ส่วนใครสนใจเรื่องราวการทำงานของมูลนิธิเพื่อสังคม ขอแนะนำให้รู้จักมูลนิธิเชฟแคร์ส (Chef Cares Foundation) ที่สนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ทางอาหาร ด้วยการเชิญเชฟมิชลินกว่า 70 คนมาร่วมทำอาหารพร้อมทาน ทั้งแบบแช่เย็น และแบบแช่แข็งที่มีคุณภาพให้คนไทยเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงโครงการต่างๆ ที่ช่วยอนุรักษ์มรดกทางอาหาร และ The BUILD Foundation มูลนิธิที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตและการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล

ทั้งหมดนี้คือโครงการด้านวัฒนธรรมและมูลนิธิเพื่อสังคมของ มาริษา เจียรวนนท์ ที่ปรึกษาพิเศษ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ที่เริ่มทำมูลนิธิแรกในประเทศไทยตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่แล้ว 

คุณมาริษาเป็นคนเกาหลี ศึกษาด้านการเงินและธุรกิจระหว่างประเทศมาก่อน รวมถึงมีประสบการณ์การใช้ชีวิตในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เกาหลีใต้ และไทย ทำให้เข้าใจศิลปะร่วมสมัยในระดับนานาชาติ รวมถึงความแตกต่างของการทำงานเพื่อสังคมในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะการทำ philanthropy (องค์กรเพื่อสังคม) และการทำกุศล ซึ่งในเอเชียมีบริบทไม่เหมือนในสหรัฐอเมริกา 

ในขณะที่วัฒนธรรมไทยอาจคุ้นเคยกับการให้ผ่านการทำบุญและการช่วยเหลือตั้งแต่เด็ก วัฒนธรรมตะวันตกจะคุ้นเคยกับองค์กรการกุศลมากกว่า คุณมาริษามองว่า ไม่ว่าจะขับเคลื่อนสังคมรูปแบบไหน หัวใจของการทำดีคือ compassionate heart การเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริงไม่ต่างกันเลย

คอลัมน์ ‘ณ บัตรนั้น’ ในตอนนี้ ขอชวนไปฟังเรื่องราวการทำงานขับเคลื่อนสังคมและวัฒนธรรมผ่านนามบัตร 5 ใบของ มาริษา เจียรวนนท์ ที่ไม่เพียงอยากให้สังคมดีขึ้น แต่ใช้ความเข้าอกเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน

Co-founder – The BUILD Foundation

มูลนิธิแห่งแรกที่คุณมาริษาก่อตั้งเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว คือ The BUILD Foundation มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการสร้างโรงเรียนใหม่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งความช่วยเหลืออื่นยังเข้าไม่ถึง เนื่องจากการเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านเหล่านี้ยากลำบากและเต็มไปด้วยถนนโคลน รถบรรทุกใหญ่เข้าไปไม่ได้ ต้องใช้รถยนต์ หรือรถปิกอัพวิ่งหลายรอบเท่านั้น มูลนิธิหลายแห่งจึงมักเลือกสร้างโรงเรียนในพื้นที่ที่เข้าถึงง่ายกว่า ทำให้เด็กนักเรียนตามชายแดนหรือเด็กไร้สัญชาติถูกละเลย

คุณมาริษาเห็นโอกาสที่จะเข้าไปสนับสนุนการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในส่วนนี้ และเมื่อเข้าไปเยี่ยมหลายครั้งด้วยตัวเองก็พบปัญหาหลายอย่าง เช่น สภาพโรงเรียนหลายแห่งชำรุด บางแห่งไม่มีหน้าต่าง ทำให้เวลาฝนตกเด็กไม่สามารถมาเรียนได้ เพราะบางคนต้องเดินทางไปโรงเรียนนานกว่าหนึ่งชั่วโมง โครงการของ The BUILD จึงเข้าไปพัฒนาสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงติดตั้งโซลาร์เซลล์และทีวีดาวเทียมให้เยาวชน

คุณมาริษายังเล่าประสบการณ์ตรงจากการไปเยี่ยมเด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลให้ฟัง ตั้งแต่การพบปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างการสังเกตเห็นว่ามีแผลบนแก้มของเด็กเล็กหลายคนแม้ไม่มีสนามเด็กเล่นหรือสิ่งอันตรายอื่นในบริเวณนั้น เมื่อพูดคุยกับเด็กจึงพบว่าเกิดจากการปีนต้นไม้แล้วตกลงมา แต่ไม่มียาทา จนเกิดเป็นแผลอักเสบมีน้ำหนอง ไปจนถึงการพบปัญหาใหญ่ที่เชื่อมโยงกับปัญหาทางโครงสร้างสังคม อย่างการแต่งงานเร็วในเยาวชนตั้งแต่อายุ 13-14 เพราะครอบครัวต้องการแรงงานเพิ่มมาช่วยทำงานตัดต้นไม้

ด้วยความที่เห็นเด็กหลายคนใช้ชีวิตในหมู่บ้านตั้งแต่เกิด ไม่เคยเปิดโลกกว้าง คุณมาริษาจึงเคยริเริ่มไอเดียพานักเรียนไปเที่ยวเชียงใหม่ กรุงเทพฯ และ หัวหินเป็นเวลา 1 อาทิตย์ แต่กลับพบว่า ระหว่างทริป เด็กๆ เริ่มไม่สนุก และอยากกลับบ้าน แม้จะลองชวนให้ลดที่เที่ยวให้เหลือแค่หัวหิน ก็ไม่มีใครอยากไป

“เด็กๆ เหล่านั้นมีความสุขมากกว่าเรา เจออะไรนิดหน่อยก็หัวเราะ เจออะไรนิดหน่อยก็ยิ้ม มีอะไรนิดหน่อยก็ดีใจและพอใจ แต่เราน่ะ เจออะไรกันนิดหน่อยก็ไม่พอใจเลย จากทริปนั้นเลยตระหนักว่า เราไปดึงพวกเขาให้หันเหจากความสุขที่มีอยู่แล้ว 

“ตั้งแต่เกิดมา คนเราก็ไล่ตามความสุข แต่ละคนมีความสุขต่างกัน มีมุมมองต่างกัน บางคนอยากทำงานเก่ง อยากเป็นหัวหน้า แต่จริงๆ แล้ว นั่นไม่ใช่ความสุขของทุกคน เราอย่าไปรบกวนชีวิตพวกเขามากนัก”

คุณมาริษาจึงมองว่าสิ่งสำคัญที่จะมอบให้เด็กๆ ได้คือทักษะที่จะติดตัวไปตลอดชีวิตในทศวรรษใหม่ The BUILD Foundation จึงเน้นสนับสนุนการพัฒนาอาชีพให้สอดคล้องกับโลกในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ชุมชน บุคลากรและนักเรียน เพราะการศึกษาไม่มีที่สิ้นสุด มูลนิธิกำลังพัฒนาโครงการ BUILD Skills Lab โครงการฝึกอาชีพด้วยการสอนทำอาหาร สร้างผลิตภัณฑ์และเมนูชุมชน โดยเริ่มจากโรงเรียนบ้านหมูสี อำเภอปาก ช่องจังหวัดนครราชสีมา

เชฟมิชลินและผู้เชี่ยวชาญ จะเข้าไปสอนเด็กๆ และชุมชนทำคุกกี้ เค้ก อาหารจานเดี่ยวเมนูท้องถิ่นอย่างหมี่โคราช และเมื่อให้เชฟฝีมือดีมาสอน เยาวชนก็จะทำเมนูออกมาอร่อย ทำอาหารขายชุมชน หรือเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต ได้สร้างรายได้ให้ตัวเองและชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นโมเดลที่มูลนิธิอยากพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับท้องถิ่นในระยะยาว 

นอกจากนี้ยังมีการสอนภาษาอังกฤษ ภาษาต่างชาติ และการสร้างความคุ้นชินในการใช้ AI ให้กับคนในชุมชน เพื่อให้พัฒนาการสอดคล้องเชื่อมต่อกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ 

Founder – Chef Cares Foundation

นอกจากด้านการศึกษาแล้ว คุณมาริษายังตั้งใจนำศาสตร์และศิลป์ในการทำอาหารจากเชฟระดับโลกมาช่วยตอบแทนสังคมผ่าน Chef Cares (เชฟแคร์ส) มูลนิธิและวิสาหกิจเพื่อสังคมที่สนับสนุนด้านวัฒนธรรมอาหาร

จุดเริ่มต้นคือช่วงโควิด-19 ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนกกับข่าวผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิต ช่วงนั้นคุณมาริษาไปโรงพยาบาลเพื่อดูแลคุณแม่ทุกวันและสังเกตเห็นว่า บุคลากรทางการแพทย์ต่างทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อยมากจนแทบไม่มีเวลาพักหรือกินอาหารให้ครบมื้อ โครงการของ Chef Cares จึงเริ่มต้นขึ้นจากการสนับสนุนอาหารพร้อมทานให้กับทีมบุคลากรทางการแพทย์

“คนเหล่านี้คู่ควรกับการได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เราจึงเชิญเชฟมิชลินมาทำโครงการด้วยกันตั้งแต่ต้น ทุกวันหลังทานข้าวเสร็จประมาณ 7 โมงครึ่ง เราจะเริ่มโทรศัพท์ชวนเชฟต่างๆ มาทำงานด้วยกัน ซึ่งในเวลานั้นเชฟมิชลินก็ลำบากกันมาก เพราะช่วงโควิด-19 ร้านอาหารธรรมดาทั่วไปยังส่งเดลิเวอรีได้ แต่ไม่ค่อยมีใครไปทานอาหารที่ร้านมิชลิน เราก็คุยกับเชฟว่าขอให้บริจาคเวลา บริจาคฝีมือทำกับข้าวได้ไหม เราไม่ได้ใช้เวลานานมากในการชักชวนเชฟแต่ละท่าน บางครั้งไม่ถึง 5 นาที ฟังแป๊บเดียวเชฟก็ตกลงช่วย เราเป็นคนเกาหลีก็รู้สึกประทับใจใน compassion ของคนไทยมาก”

หลังจากโควิด-19 ผ่านไป กิจกรรมและโครงการต่างๆ ของ Chef Cares ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีเชฟในโครงการถึง 73 คน ที่ต่างยินดีใช้ฝีมือในการทำอาหารคุณภาพสูงเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ รวมถึงเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ที่ผ่านมาก็มีอาหารจาก Chef Cares ร่วมบริจาคด้วย

คุณมาริษาซึ่งเคยอาศัยอยู่หลายประเทศ มองว่าประเทศไทยเป็นเมืองแห่งอาหารที่ได้เปรียบด้านวัตถุดิบทางธรรมชาติ จากเมื่อ 30 ปีก่อนที่คนไทยนิยมไปกินอาหารที่ฮ่องกง วันนี้เองคนฮ่องกงก็ยังต้องบินมากินของอร่อยในประเทศไทย หรือแม้แต่ประเทศเกาหลีก็ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าที่ประเทศไทย 

“ที่เกาหลีไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเหมือนเมืองไทย ทรัพยากรเดียวที่เรามีคือทรัพยากรมนุษย์ คนเกาหลีรุ่นก่อนเล่าว่า สมัยก่อนช่วงเดือน 11 จนถึงเดือน 2 ของปีถัดไปจะไม่มีอาหารกิน เพราะอากาศเย็นมากจนปลูกอะไรไม่ได้ ต้องทำงานหนักเพื่อเก็บอาหารให้อยู่ได้ 3-4 เดือน แต่ที่เมืองไทยเรามีความอุดมสมบูรณ์

“สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณเติบโตและมั่นคงได้คือการศึกษา การเรียนในมหาวิทยาลัยดีๆ และทำงานหนักมาก เพื่อให้ชีวิตมั่นคงและมีความมั่งคั่ง ตอนนี้จึงเห็น K-pop, K-drama, K-beauty ทั้งหมดเกิดจากการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ของเกาหลีทรงพลังมาก แต่คนไทยก็ไม่แพ้เหมือนกัน ทั้งอาหารอร่อย วัตถุดิบหลากหลาย และน้ำใจดี”

คุณมาริษายังมองว่าวัฒนธรรมด้านอาหารไทยมีความพิเศษ เช่น อาหารถิ่น 5 ภาค อาทิ แกงป่า แต่ละภาคมีสูตรการทำแกงป่าที่ต่างกัน ทั้งวัตถุดิบ สูตร รวมถึงวิธีถนอมอาหาร หรือ ตำราอาหารชาววังที่หายากและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน อีกทั้งภูมิปัญญาการทานอาหารเป็นยา เช่น การใช้สมุนไพรอย่างตะไคร้ ข่า ขิง ทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

ในช่วงต้นปีหน้าจะมีการเปิดตัวโครงการ ‘รสชาติไทย’ เป็นคลังความรู้ออนไลน์ส่งต่อวัฒนธรรมอาหารไทย มรดกวัฒนธรรมการกินพื้นถิ่น อาหารในประวัติศาสตร์จวบจนอาหารชาววังซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่คนไทย เองก็อาจไม่ทราบ หรืออาจเข้าถึงได้ไม่ง่าย โครงการเหล่านี้เป็นการอนุรักษ์ต่อยอดมรดกทางอาหารที่ Chef Cares อยากสนับสนุนวัฒนธรรมไทยในหลายมิติ

Founder – Bangkok Kunsthalle

คุณมาริษายังเคยมีงานอดิเรกเป็นนักสะสมศิลปะ โดยเฉพาะศิลปะร่วมสมัย และงานประติมากรรม (contemporary art and sculpture art) ก่อนผันตัวมาเป็นผู้แบ่งปันผลงานศิลปะ (art sharer) ที่ไม่ได้สะสมเพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว แต่เชิญศิลปินหลากหลายแขนงมาสร้างสรรค์ผลงานและแบ่งปันกับผู้ชม บางกอก คุนส์ฮาเลอ จึงเป็นสถาบันศิลปะที่ผู้ชมสามารถเห็นสตูดิโอของศิลปินได้จริง

“คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ศิลปินไทยสร้างงานที่มีเอกลักษณ์แบบท้องถิ่นและอารมณ์ขันลึกซึ้ง แต่ที่ผ่านมา ในทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical) ของแผนที่โลก ประเทศเรามักไม่เคยถูกมองว่าอยู่ในโลกศิลปะ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อยากสนับสนุนศิลปะให้มากขึ้น ทำยังไงคนไทยถึงจะรู้จักแหล่งความรู้ทางศิลปะจากเมืองนอก เรารู้ว่ามีคนไทยที่เก่งเยอะมาก แต่จะเชื่อมศิลปินไทยให้เข้าถึงโอกาสและเครือข่ายนานาชาติยังไง ก็เลยตั้งบางกอก คุนส์ฮาเลอขึ้นมา”

จากประสบการณ์การทำงานในบอร์ดคณะกรรมการร่วมกับพิพิธภัณฑ์ระดับโลกทั้ง Tate Modern ที่ลอนดอน, New Museum ที่นิวยอร์ก, M+ Museum ที่ฮ่องกง, หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ฯล ทำให้คุณมาริษามองเห็นโอกาสของพิพิธภัณฑ์ที่ต่างออกไป

“เรากำลังทำสิ่งที่แตกต่างจากพิพิธภัณฑ์รูปแบบเดิม ซึ่งทำให้ผู้คนสนใจในสิ่งที่เรากำลังทำ โดยทั่วไป พิพิธภัณฑ์มักสร้างโดยสถาปนิกชื่อดังเพื่อจัดแสดงคอลเลกชั่นที่เจ้าของสะสม หรือบางครั้งอาจเชิญศิลปินมาสร้างสรรค์งานสำหรับแต่ละนิทรรศการ แต่เราทำลายกรอบแบบนี้ เพราะแบบเดิมคนจะมองที่ภาพมาสเตอร์พีซชิ้นหลักชิ้นเดียวเป็นเวลานาน”

อาร์ตสเปซแห่งนี้จึงส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มรูปแบบ ให้อิสระกับศิลปินทุกแขนง ทั้งไทยและต่างชาติ มีทั้งนิทรรศการระดับนานาชาติและโครงการศิลปินในพำนัก (artist-in-residence) ที่เปิดสตูดิโอให้ศิลปินจากหลากหลายศาสตร์สร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง เช่น ล่าสุด Spencer Sweeney ศิลปินจากนิวยอร์กมาตั้งซุ้มไม้ไผ่และทำงานสร้างสรรค์อิสระทั้งวาดภาพและสวมบทบาทดีเจ 

ขณะที่ศิลปินไทยอย่าง คุณกรกฤต อรุณานนท์ชัย มาจัดแสดงงานนิทรรศการร่วมสมัย nostalgia for unity ส่วนคุณจิตติ ชมพี ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการแสดงและเต้นร่วมสมัยนำกิจกรรม Molam Collective มาสอนนักแสดงผู้พิการทางการได้ยินให้ได้เรียนรู้การเต้นจากแรงสั่นสะเทือนของเสียง

นอกจากนี้ ยังมีนิทรรศการของศิลปินรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์ เช่น ‘อับซาลอง’ กับผลงาน ‘Cells’ ที่สื่อสารถึงบ้านที่ไร้บริบททางวัฒนธรรม รวมถึงนิทรรศการ Vernacular Objects ของ ‘มาร์ค เจียรวนนท์’ ที่รวบรวมวัตถุใช้แล้วในชุมชนเยาวราช นำมาเป็นที่กั้นรถหน้าบ้านแบบง่ายๆ และร้อยเรียงใหม่เป็นชิ้นงานศิลปะรูปแบบที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เคยชมกันมากนัก บางกอก คุนส์ฮาเลอจึงถือเป็นก้าวสำคัญที่ผลักดันวงการศิลปะร่วมสมัยในประเทศไทย

จากผลงานทั้งหมดนี้ คุณมาริษาบอกว่าอยากให้บางกอก คุนส์ฮาเลอเป็นพื้นที่ที่เติบโตไปพร้อมกับผู้ชมไทย ทำให้คนไทยคุ้นชินกับศิลปะร่วมสมัยทุกแขนงนอกเหนือจากภาพ ทั้งการเต้น วรรณกรรม สถาปัตย์ ดีไซน์ รวมถึงการทำหนังสั้น ซึ่งตั้งใจเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือแต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก เพราะผลงานเหล่านี้ไม่ใช่งานเชิงพาณิชย์ จึงทำ Moving Image exhibition พื้นที่ฉายผลงานภาพยนตร์ในประเทศและต่างประเทศ คัดเลือกให้คนที่สนใจเข้าชมฟรี จนถึงพื้นที่ open call ที่เปิดให้ศิลปินรุ่นใหม่มาจัดแสดงผลงาน

ทั้งนี้หลายคนที่แวะมาที่บางกอก คุนส์ฮาเลออาจประหลาดใจที่พบอาคารที่คงความดิบดั้งเดิมไว้ตั้งแต่สมัยเป็นโรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช โดยในอดีตสำนักพิมพ์แห่งนี้เคยผลิตหนังสือเรียนให้เด็กทั่วประเทศ คุณมาริษาเล่าความตั้งใจเบื้องหลังว่า

“ตอนแรกที่เห็นอาคารนี้ สิ่งแรกที่คิดคือถ้าเราไม่ซื้อไว้ สุดท้ายต้องมีคนเข้ามาทุบทิ้งแล้วสร้างเป็นอาคารพาณิชย์แน่นอน เราเลยตัดสินใจซื้อไว้ เราเลือกเก็บอาคารนี้ไว้ในสภาพเดิมมากที่สุด เพื่อคอยเตือนว่าเราควรอ่อนน้อมกับชีวิต สุดท้ายวงจรชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับมัน มนุษย์เรามีช่วงที่เติบโตและพัฒนาไปตามวัย มีช่วงพีคของชีวิตการทำงาน แต่ไม่มีใครขาขึ้นไปตลอด สักวันหนึ่งเราจะแก่ตัวลงและเกษียณ วันหนึ่งเราอาจต้องเลิกทำกิจกรรมบางอย่าง เพราะร่างกายไม่เอื้อ บางครั้งก็ป่วย บางคนอาจป่วยหนักและจากไปในวันหนึ่ง

“อาคารหลังนี้สะท้อนวงจรชีวิต คล้ายมนุษย์อย่างเราๆ มีจุดที่เกิดขึ้น เติบโต รุ่งเรือง ถดถอยลงจนขาดคนใส่ใจดูแล หลังจากไฟไหม้ใน พ.ศ. 2545 ตอนนี้อาคารอายุประมาณ 82 ปี ไทยวัฒนาพานิชครั้งหนึ่งเป็นผู้ตีพิมพ์หนังสือเรียนจำนวนมาก โดยเฉพาะหนังสือประกอบการเรียนรู้ที่สำคัญ

“เช่น พจนานุกรมภาษาไทย อังกฤษ โดย สอ เสถบุตร หลังจากนั้น มีการเปลี่ยนหน่วยงานที่ตีพิมพ์ขึ้น ทำให้ธุรกิจมีขนาดเล็กลงตามลำดับ โดยในที่สุด บริษัทได้ย้ายสถานที่ทำการออกไปจากอาคารเดิม และปล่อยให้รกร้าง มันก็เหมือนร่างกายคนเรา ที่ค่อยๆ ถอยลงตามกาลเวลา อาคารนี้จึงเล่าเรื่องชีวิตแบบที่เป็น”

แม้แต่ตัวอาคารของบางกอก คุนส์ฮาเลอ ก็เป็นศิลปะร่วมสมัยที่สะท้อนเรื่องราวชีวิตอย่างลึกซึ้งด้วยเช่นกัน 

Founder – Khao Yai Art Forest

Khao Yai Art Forest หรือศิลป่าเขาใหญ่ เป็นอีกโครงการที่คุณมาริษาก่อตั้งหลังจากบางกอก คุนส์ฮาเลอไม่นานนัก โดยมีหัวใจสำคัญคือการเยียวยาจิตใจผ่านธรรมชาติ และสร้างสรรค์ศิลปะโดยคำนึงถึงการฟื้นฟูธรรมชาติ

คุณมาริษาเล่าว่าที่ดินแห่งนี้เดิมเคยเป็นผืนดินของผู้ลี้ภัยที่หนีน้ำท่วมจากโคราชมาก่อนใน พ.ศ. 2518 เมื่อมาตั้งรกราก ก็มีการตัดต้นไม้มาขายและทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว เช่น ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นเวลาหลายปีทำให้ดินเสื่อมสภาพ แม้ว่าจะมีต้นไม้จำนวนมาก แต่พันธุ์ไม้ท้องถิ่นดั้งเดิมเหลือเพียง 60 พันธุ์ และส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไม้ต่างชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลกับวัฒนธรรมอาหารโดยตรง

“รู้ไหมว่าเวลาที่เราไปดูตำราอาหารเก่าแก่ หรือตำราโบราณหายาก เราพบว่ามีตำราอาหารน่าสนใจมากมาย แต่หลายเมนูก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้เป็นจริง” 

สาเหตุเพราะวัตถุดิบลดน้อยลง จากพันธุ์พืชในตำราอาหารโบราณกว่า 200 พันธุ์ ทุกวันนี้ในซูเปอร์มาร์เก็ตอาจเหลือเพียง 50 กว่าพันธุ์ โครงการนี้จึงไม่ได้ตั้งใจเพียงแค่จัดแสดงศิลปะ แต่ยังฟื้นฟูป่าด้วยการนำเมล็ดพันธุ์จากอุทยาน ผัก และผลไม้ มาปลูกเพื่อเยียวยาผืนดินในระยะยาว โดยมีเชฟวุฒิศักดิ์ วุฒิอัมพร Co-founder Chef Cares มาอยู่ที่นี่ และเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกทางอาหารสำหรับการจัดแสดงผลงานศิลปะ 

คุณมาริษาบอกว่ามีสองเงื่อนไขสำคัญสำหรับศิลปินที่สร้างสรรค์ผลงานที่ Khao Yai Art Forest ข้อแรกคือ การคำนึงถึงการลดคาร์บอนฟุตปรินต์ และเทรนด์ ESG (Environment, Social และ Governance) ศิลปินต้องใช้สื่อธรรมชาติ (medium) ที่หาได้จากพื้นที่ เช่น แสงแดด ลม น้ำ ดิน หิน ไม้

ตัวอย่างเช่น ผลงานของ Fujiko Nakaya ศิลปินชาวญี่ปุ่นวัย 93 ปี ที่ติดตั้ง installation ขนาดใหญ่ ซึ่งต้องใช้น้ำมากถึง 6 ตัน ปั๊มน้ำซึ่งเป็นนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพในซานฟรานซิสโกชื่อ Aquaria จึงถูกนำมาใช้ในการดึงอากาศและกลั่นน้ำดื่ม ถือเป็นครั้งแรกที่ใช้นวัตกรรมนี้นอกสหรัฐอเมริกา 

นอกจากนี้ยังเตรียมใช้พลังงานทางเลือกในโครงการอื่นๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงเปลี่ยนระบบไฟฟ้าและพลังงานให้เป็นโซลาร์เซลล์เต็มรูปแบบ

เงื่อนไขข้อสองคือ ศิลปะทุกงานต้องเป็นสิ่งที่ส่งต่อพลังบวกและส่งต่อพลังดีให้กับคนอื่น เพราะคุณมาริษามองว่าอยากให้ผลงานศิลปะทุกชิ้นมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ทำให้คนที่แวะมารู้สึกเชื่อมโยงกับทั้งตัวเองและธรรมชาติได้

“เช่น ผลงาน Fog Forest ของ Fujiko Nakaya เมื่อคุณอยู่ท่ามกลางหมอกเราจะมองไม่เห็นกันและกัน เราก็ไม่เห็นอะไรในตอนนั้น นี่คือช่วงเวลาที่เปิดโอกาสให้ปล่อยวาง เพราะทุกคนไม่ว่าเป็นคนประสบความสำเร็จ มีความสามารถ หรือมีชื่อเสียง ต่างก็มีสิ่งที่ไม่เพอร์เฟกต์ในตัวเราเอง เรามีช่องว่างในใจ ความกังวล บาดแผล ความรับผิดชอบ ความเครียด และสิ่งลบๆ ทั้งหลายอยู่ข้างใน และในช่วงเวลานั้น คุณปล่อยทุกอย่างให้ละลายไปกับหมอก เพราะมันเป็นแค่หมอก

“หมอกที่ล้อมรอบก็เป็นเหมือนคำอวยพรเพราะมาจากฟ้า เมื่อเราตระหนักถึงสิ่งดีๆ ที่ได้รับ มันเป็นโมเมนต์แห่งการเยียวยา บางครั้งอาจใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาที ก็เหมือนได้ทำสมาธิ และปล่อยวางได้แล้ว บางคนก็ถึงกับร้องไห้ 

“เราจัดแสดงหมอกตอนกลางคืนด้วย สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อเข้ามาในช่วงแรกทุกคนจะเงียบสนิท แต่พอหมอกจาง ทุกคนจะเริ่มกระซิบเบาๆ ทันทีที่อยู่ท่ามกลางศิลปะและธรรมชาติที่ทรงพลัง คุณจะรู้สึกตัวเองถ่อมตัวและตัวเล็กลงมาก แม้เวลาพูด คุณก็ไม่ใช้เสียงดัง นี่คือประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก” 

ตัวอย่างผลงานอื่นๆ เช่น GOD ของ Francesca Arena ที่นำก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนมาวางซ้อน กันกลางป่า ผู้ชมไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรมาก แต่สัมผัสหินเพื่อรับพลัง บางครั้งก็มีผู้มาเยือนสวดมนต์และสัมผัสหินอย่างตั้งใจ นอกจากนี้ ยังมีงาน Madrid Circle ของ Richard Long ศิลปินชาวอังกฤษ บนยอดเขา ที่ผู้ชมสามารถเดินทำสมาธิรอบงาน (walking meditation) เป็นการสร้างประสบการณ์เชิงสติและการรับรู้ร่วมกับธรรมชาติ

หรือในฝั่งศิลปินไทยอย่างคุณอารยา ราษฎร์จำเริญสุข ก็ได้นำเสนอวิดีโออาร์ตร่วมสมัยที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านเข้าชมงาน คุณมาริษาเล่าว่าหลายคนสามารถบรรยายความรู้สึก สิ่งที่เห็น และสิ่งที่สัมผัสได้แม้ไม่คุ้นเคยกับศิลปะมาก่อน 

“เราคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญทุกอย่าง เหมือนกับพวกเขา อาจเก่งเรื่องเกษตรกรรมมาก แต่ไม่รู้จักโมเดิร์นอาร์ต ในขณะที่เราอาจเข้าใจเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราไม่รู้ มันทำให้เราถ่อมตัวและเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจมาก

“เราไม่รู้ว่าศิลปะเหล่านี้จะอยู่ได้กี่ปี วันหนึ่งอาจกลายเป็น ephemeral art (งานศิลปะเรียบง่ายที่ไม่รบกวนธรรมชาติและมีอายุสั้น) ที่ค่อยๆ หายไปในวันหนึ่ง แต่ทุกงานไม่ได้มีไว้แค่ให้มอง แต่เพื่อรู้สึก นี่คือความพิเศษของ Art Forest ทุกงานศิลปะที่คุณมีส่วนร่วม คุณจะได้รับพลังบวกจากมัน เมื่อเดินออกจากอุโมงค์หรือเดินเข้าไปใหม่ จะรู้สึกถึงพลังที่ได้รับ

“และศิลปะร่วมสมัยเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสวยงามเสมอไป เพราะศิลปะร่วมสมัยคือการแสดงออก ทั้งการแสดงออกของสังคมและตัวตน ซึ่งสังคมและตัวตนไม่ได้เป็นบวกเสมอไป ดังนั้นเราจึงสร้างบางสิ่งเพื่อสะท้อนสิ่งเหล่านั้น เราจึงมักบอกศิลปินว่า อยากให้สร้างงานที่สามารถส่งต่อพลังบวกและพลังดีให้ผู้ชม”

Special Advisor to Senior Chairman – Charoen Pokphand Group

ในบทบาทที่ปรึกษาพิเศษ ประธานอาวุโสของเครือเจริญโภคภัณฑ์ คุณมาริษามีส่วนสำคัญในการสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมอาหารที่เชื่อมโยงกับมูลนิธิต่างๆ เช่น ในโครงการของ Chef Cares ที่ผลิตสินค้าอาหารพร้อมทานร่วมกับเชฟมิชลิน และ CPF โดยวางจำหน่ายใน เซเว่นอีเลฟเว่น

“จุดประสงค์ในการทำ Ready-to-Eat Meal ของเราง่ายมาก เราต้องการทำอาหารที่ดีที่สุดให้คนไทยกินแล้วสุขภาพแข็งแรง นี่คือเป้าหมายหลักของเรา เราคือผู้ผลิตเพียงรายเดียวที่ไม่ใส่ผงชูรส (No MSG) และเราใช้วัตถุดิบคุณภาพดีที่สุด เช่น หมูชีวา และไก่เบญจา ซึ่งเป็นวัตถุดิบคุณภาพดีมาก จะไม่ค่อยมีใครนำวัตถุดิบเหล่านี้มาทำอาหารสำเร็จรูป”

นอกจากนี้เมนูอาหารชาววังเมนูแรกที่นำมาทำอาหารสำเร็จรูปคือ ข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือซึ่งเป็นเมนูที่ขายดีมาก ขายในราคากล่องละ 49 บาท เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ คุณมาริษาบอกว่า สำหรับอาหารพร้อมทานแบรนด์เชฟแคร์สนั้นกำไรทั้งหมดที่ได้นำกลับคืนสู่มูลนิธิอีกต่อเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ต้องทำให้เกิดกำไรบ้าง เพื่อทำให้ช่วยเหลือได้มากขึ้นและยั่งยืน สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณภาพ มีการควบคุมคอเลสเตอรอล ไขมัน น้ำตาล โซเดียมในการผลิตอาหาร เพราะอยากให้คนไทยได้กินอาหารของเชฟแล้วสุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องไปหาหมอ

นอกจากนี้คุณมาริษายังต่อยอดโครงการสานฝันปั้นเชฟ หรือ Chef Cares Dream Academy ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5 โดยมีเป้าหมายเชื่อมโยงกับการศึกษา สนับสนุนเยาวชนผู้เคยกระทำผิดให้ได้เรียนทักษะทำอาหาร และฝึกงานกับเชฟมิชลิน

“ครั้งแรกที่เราจะทำโครงการช่วยเด็กจากกรมพินิจฯ หลายคนบอกว่าไม่ควรทำเลย จะช่วยเด็กเกเรทำไม แต่ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ใครจะช่วยพวกเขา เราเคยถามพวกเขาว่า ความฝันคืออะไร เด็กตอบว่า เรามีความฝันได้ด้วยเหรอ ไม่กล้าฝันหรอก เพราะเป็นเด็กที่กรมพินิจฯ แล้วเขาก็บอกว่า มีฝันอยู่หนึ่งอย่าง แต่ไม่แน่ใจว่านี่คือความฝันไหม ฝันของเขาคือไม่อยากกลับไป ‘บ้านใหญ่’ (คุกใหญ่) แล้วเพื่อนเขาก็บอกว่า ใช่ นั่นก็ความฝันของเขาเหมือนกัน”

คุณมาริษามองว่า เพราะบางครั้งเยาวชนเหล่านี้ก็พลาดได้จากปัจจัยต่างๆ เด็กบางคนไม่มีพ่อแม่คอยดูแล หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เพื่อนพาทำผิด การให้โอกาสในโครงการ Chef Cares Dream Academy จึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเยาวชนเหล่านี้ นอกจากเยาวชนจะมีทักษะติดตัว จนเข้าแข่งขันและได้รางวัลใน Thailand International Culinary Cup ระดับประเทศแล้ว โครงการได้ทำ MOU กับกระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์เพื่อมอบเยาวชนที่ผ่านการอบรมกลับสู่สังคม พร้อมมีความฝันเป็นของตัวเองที่จะเดินต่อในการเป็นเชฟได้จริงๆ ในอนาคต จากโครงการเพื่อสังคมทั้งหมดนี้ คุณมาริษายังปิดท้ายด้วยการเล่าถึงอีกบทบาทในฐานะคุณแม่ว่า 

“เราอยากให้ลูกๆ รู้จักความขยัน ยังไงก็ต้องขยัน แต่นอกเหนือจากนั้น ทุกการทำองค์กรและกิจกรรมการกุศลควรเกิดจากความรู้สึกขอบคุณ (gratitude) เมื่อเรารู้สึกขอบคุณ เราจะอยากแบ่งปัน เพราะเรารู้สึกว่าเรามีสิ่งดีๆ แล้ว แต่การทำคนเดียว เก็บไว้คนเดียวมันไม่พอ ต้องแชร์ให้คนอื่น

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่มูลนิธิ The BUILD Foundation ก่อตั้งขึ้นมาแต่ลูกๆ ยังเด็ก และเรายังคงทำมาจนถึงทุกวันนี้ เราอยากสอนลูกๆ ให้รู้จักการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ (empathy) และความถ่อมตัว (humility) สิ่งเหล่านี้สำคัญมาก ทุกคนต้องทำงาน ต้องขยัน แต่ก็ต้องมีความเห็นอกเห็นใจ แบ่งปันสิ่งที่มีให้คนอื่น”

Writer

Cultural Decoder & Story Weaver, Craft Curator & Columnist, Design Researcher // Instagram : @rata.montre

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like