วิกฤตหงส์ไทย
จากวิกฤตโรงงานหงส์ไทย สู่บทเรียนการวางระบบธรรมาภิบาลของธุรกิจไทย
ข่าววิกฤตของแบรนด์ หงส์ไทย ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งกรณีจุลินทรีย์ปนเปื้อนในยาดมสมุนไพรและโรงงานไม่ได้รับใบผลิตอนุญาต จนเจ้าของหงส์ไทยต้องออกมาชี้แจงล่าสุด เป็นเหมือนสัญญาณเตือนสำหรับวงการธุรกิจไทยทั้งหมด เพราะนี่คือคำถามถึง ‘โครงสร้างของความยั่งยืน’ ว่าธุรกิจไทยส่วนใหญ่ได้วางกรอบไว้อย่างมั่นคงพอหรือยัง แม้ทุกองค์กรที่ขายดี เห็นลู่ทางกำไรเติบโต ย่อมอยากขยายธุรกิจและโรงงานอย่างก้าวกระโดด แต่คำถามคือ ระบบภายในหลังบ้านของธุรกิจพร้อมรองรับความเติบโตนั้นหรือเปล่า
กรณีของหงส์ไทยอาจคลี่คลายได้ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงต่อจากนี้คือระบบของธุรกิจไทยพร้อมแค่ไหนต่อการตรวจสอบ เพราะถ้าวันนี้แบรนด์ที่คนรักและเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศยังพลาดได้ วันหน้าอาจเป็นธุรกิจของเราก็ได้ แล้วผู้ประกอบการจะป้องกันความเสี่ยงนี้ยังไง
corporate governance
สร้างระบบเพื่อฉีดวัคซีนทางธุรกิจ
governance mindset คือหลักคิดการทำธุรกิจอย่างเป็นระบบ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และพร้อมรับผิดชอบทุกขั้นตอน มันคือรากฐานของความยั่งยืนที่หลายองค์กรซึ่งเร่งวิ่งหานวัตกรรมใหม่หรือกลยุทธ์การสเกลธุรกิจมักมองข้ามไปเพราะลืมว่าความยั่งยืนเริ่มจากหลังบ้านที่แข็งแรง
ระบบที่ตรวจสอบได้เหล่านี้ไม่ได้หมายถึงการจ้างที่ปรึกษามาตรวจปีละครั้ง แต่หมายถึง framework ที่ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่การจดทะเบียนโรงงาน การควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงการสื่อสารกับหน่วยงานรัฐ
ถึงตรงนี้ผู้ประกอบการหลายคนอาจมองว่าการจัดการโครงสร้างธุรกิจเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายและจุกจิก
แต่ความจริงแล้วควรมองว่า กฎหมายไม่ใช่อุปสรรค แต่คือกรอบของความโปร่งใส เปรียบดั่งวัคซีนที่เป็นเครื่องมือสร้างภูมิคุ้มกันให้ระบบทั้งองค์กร ใบอนุญาตทุกใบคือสัญญาใจที่เรามีกับผู้บริโภค ว่าสินค้าที่ออกจากโรงงานนี้มีมาตรฐานเดียวกันทุกครั้ง ไม่ว่าผลิตกี่ล็อตก็ตาม การเริ่มคิดแบบ governance mindset ทั้งหมดนี้จะสะท้อนวัฒนธรรมองค์กรที่ชี้ขาดว่าธุรกิจจะไปรอดหรือร่วง
ตัวอย่าง 3 เสาหลักที่ธุรกิจควรมีก่อนโต
1. legal framework ทุกพื้นที่การผลิตต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย
ไม่ว่าธุรกิจจะขยายกี่สาขา จะมีโรงงานใหม่กี่แห่ง ทุกแห่งต้องมีสถานะถูกต้องทางกฎหมายอย่างครบถ้วน การขออนุญาตไม่ใช่เรื่องของใครว่างค่อยยื่น แต่คือระบบที่ต้องอยู่ใน DNA ขององค์กร เอกสารทุกใบที่สะท้อนความจริงของกระบวนการจะช่วยป้องกันไม่ให้ธุรกิจโดนกระแทกจากเรื่องกฎหมายหรือใบอนุญาต
สิ่งที่ควรมีในองค์กร เช่น
– compliance map : แผนผังที่ระบุว่าแต่ละขั้นตอนของการผลิตหรือบริการ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายใดบ้าง (เช่น อย., มอก., กรมโรงงาน, สรรพสามิต ฯลฯ) เพื่อให้ทีมรู้ว่าขั้นตอนไหนเสี่ยงที่สุด
– license tracker: ระบบติดตามใบอนุญาตทั้งหมดของบริษัท (ใบอนุญาตผลิต, จำหน่าย, นำเข้า, ส่งออก ฯลฯ) พร้อมวันหมดอายุ แจ้งเตือนล่วงหน้า
– audit trail: บันทึกเอกสารการตรวจสอบทุกครั้งไว้ในระบบกลาง เพื่อแสดงความโปร่งใสเมื่อมีการตรวจแบบไม่แจ้งล่วงหน้า
ผลลัพธ์ของระบบนี้ : ธุรกิจไม่ต้องกลัวคำว่าผิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ เพราะรู้ล่วงหน้าเสมอว่าส่วนไหนต้องอัพเดต
2. operational framework ระบบการผลิตที่สม่ำเสมอ
ทุกล็อตผลิตต้องเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะแบรนด์ไม่ได้ขายสินค้า แต่ขายความไว้วางใจ มีหลักประกันคุณภาพที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าทุกสินค้าที่ออกไปจะปลอดภัยเหมือนกันหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสินค้าประเภทอาหารหรือสุขภาพ
สิ่งที่ควรมีในองค์กร เช่น
– standard operating procedure (SOP) : คู่มือปฏิบัติงานที่ละเอียดทุกขั้นตอน ตั้งแต่วัตถุดิบถึงบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้การผลิตทุกแห่งทุกช่วงเวลามีมาตรฐานเดียวกัน
– supplier verification: ตรวจสอบซัพพลายเออร์และวัตถุดิบให้ผ่านมาตรฐานเดียวกับโรงงานเอง ไม่ใช่เอาแค่ราคาถูก
– quality gate : จุดตรวจคุณภาพหลายระดับ เช่น ก่อนผลิต ระหว่างผลิต และก่อนออกตลาด
ผลลัพธ์ของระบบนี้ : ธุรกิจมี footprint ที่ตรวจสอบได้จริง ทุกล็อตเป็นหลักฐานความโปร่งใส ไม่ใช่แค่คำโฆษณา
3. governance framework ระบบธรรมาภิบาลที่ขับเคลื่อนจากข้างใน
ต้องมีระบบตรวจสอบภายในก่อนมีใครมาตรวจภายนอก เพราะองค์กรที่มีธรรมาภิบาลดีจะมองการตรวจสอบเป็นกระจก ไม่ใช่ดาบ ถ้าองค์กรมีระบบนี้ดี ต่อให้โดนสุ่มตรวจหรือโดนข่าวแรงแค่ไหน ก็ยังยืนได้ด้วยหลักฐาน
สิ่งที่ควรมีในองค์กร เช่น
– internal audit committee: ทีมตรวจสอบภายในที่ไม่ขึ้นตรงกับฝ่ายบริหารโดยตรง แต่รายงานตรงต่อคณะกรรมการหรือผู้ถือหุ้น เพื่อความโปร่งใส
– public transparency policy: นโยบายเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่อสาธารณะ เช่น แหล่งผลิต มาตรฐานการตรวจสอบ หรือรายงานผลตรวจภายในรายปี
ผลลัพธ์ของระบบนี้ : ความโปร่งใสกลายเป็นทุนทางชื่อเสียงที่สะสมมูลค่าระยะยาวให้แบรนด์ เพราะคนเชื่อในระบบมากกว่าคำพูด
เมื่อทั้งสามเสานี้ตั้งมั่น โครงสร้างธุรกิจก็จะไม่พังแม้ถูกสั่นสะเทือนจากภายนอก และจะเห็นได้ว่าระบบเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มภาระ แต่ช่วยลดต้นทุนความเสียหายในอนาคต เพราะยิ่งธุรกิจโต ยิ่งมีคนเกี่ยวข้องมาก ทั้งซัพพลายเออร์ พนักงาน และผู้บริโภค ระบบพวกนี้คือหลักประกันว่าธุรกิจจะไม่ล้มจากเรื่องที่ควรป้องกันได้ตั้งแต่ต้น และธุรกิจที่โตช้าแต่ทำครบทุกขั้นตอนจะไปได้ไกลในระยะยาวจากวินัยที่ทำกระบวนการทุกอย่างครบถ้วน
สุดท้ายนี้ หงส์ไทยไม่ใช่เคสแรก และอาจไม่ใช่รายสุดท้าย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เคสนี้สะท้อนช่องโหว่ใน ecosystem ธุรกิจไทยที่ยังขาดระบบหลังบ้านที่โตทันกับการเติบโต ทั้งการวางระบบเชิงลึก ไม่ว่าจะด้านเอกสาร กฎหมาย หรือการสื่อสารภายใน ซึ่งทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของ resilience framework ของบริษัท
ในยุคที่ข้อมูลไปเร็วและข่าวแพร่ไว การไม่จัดการระบบตั้งแต่ต้น เท่ากับปล่อยให้ชื่อเสียงองค์กรไปอยู่ในมือของคนอื่น และการแก้ปัญหาหลังเกิดวิกฤตขึ้นแล้วย่อมยากกว่าการสร้างความเชื่อใจจากลูกค้าให้กลับคืนมา แม้เจ้าของแบรนด์จะพยายามออกมาชี้แจงภายหลังก็ตาม
บทเรียนนี้จึงไม่ใช่เรื่องของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่มันคือสัญญาณเตือนว่า ธุรกิจที่อยากอยู่ยาว ต้องลงทุนในความถูกต้อง ไม่ใช่แค่ความเร็วในการเติบโต
อ้างอิง
- centraleyes.com/compliance-mapping
- diligent.com/resources/blog/what-is-governance-framework
- investopedia.com/terms/c/corporategovernance.asp
- processnavigation.com/glossary/quality-gate
- pwc.com/th/en/rcs/corporate-governance.html
- setsustainability.com/page/corporate-governance