Matcha Daizuki

MATCHAZUKI แบรนด์ที่สร้างคอมมิวนิตี้ของคนรักมัทฉะ และทำให้การดื่มมัทฉะง่ายถูกปากคนไทย 

กล่าวถึง ‘มัทฉะ’ หรือ ‘มัตจะ’ ถึงจะออกเสียงต่างกันตามแต่สะดวก ทว่าสิ่งที่เหมือนกันคือเครื่องดื่มสีเขียวจากยอดอ่อนของใบชากำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนจำนวนมาก ตั้งแต่คอมัทฉะตัวจริง, คนรักสุขภาพ, คนวัยทำงาน, วัยรุ่นเทสต์ดี หรือ performative male ก็ตาม

ไม่แปลกใจที่ในปีนี้จะมีปรากฏการณ์มัทฉะขาดตลาด ผู้คนแย่งกันกว้านซื้อ เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าหัวใสนำมาปล่อยต่อในราคารีเซลที่แพงกว่าท้องตลาด ไหนจะถูกดัดแปลงให้กลายเป็นเมนูขนมหวานนานาชนิด  แม้กระทั่งงานมหกรรมกาแฟยังต้องมีบูทมัทฉะ 

ถอยกลับมาสักเล็กน้อยก่อนที่ปรากฏการณ์มัทฉะฟีเวอร์จะเกิดขึ้น ย้อนกลับไปในปี 2014 มีแบรนด์มัทฉะแบรนด์หนึ่งที่ทำหน้าที่ดัง ‘คอมมิวนิตี้’ แลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจในหมู่คนรักมัทฉะ ทั้งศาสตร์วิธีการชง, การเก็บรักษาผง, การเลือกภาชนะสำหรับดื่ม, สูตรการนำไปแปรรูปเป็นขนม ฯลฯ

แบรนด์ดังกล่าวมีชื่อว่า ‘MATCHAZUKI’ ที่มาจากคำสองคำ นั่นคือ ‘Matcha’ (มัทฉะ) และ ‘Zuki’ (สึกิ) ที่ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ‘รัก’ ตรงตามความรู้สึกของ ‘ทิม–ธีรภัทร์ เตชะมหพันธ์’ ซีอีโอผู้ก่อตั้งแบรนด์แบรนด์นี้ด้วยความรักและความหลงใหลที่มีต่อมัทฉะ 

“เราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ” จากความรักสู่ปณิธานที่อยากให้คนไทยได้ลิ้มรสประสบการณ์การดื่มมัทฉะคุณภาพเยี่ยม ด้วยการพัฒนาโปรดักต์ร่วมกับ R&D (research and development) และ Tea Master จากฝั่งประเทศญี่ปุ่นต้นตำรับด้านการดื่มมัทฉะขนานแท้  ยกตัวอย่างการพัฒนาผงมัทฉะร่วมกับไร่ชา Kono ที่ถูกขนานนามว่า Mozart’s tea จากการเปิดเพลงให้ต้นชาฟัง เพื่อให้ใบชาผ่อนคลายอารมณ์ดีก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิต การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศชาเขียวโลกถึง 6 ปี และโรงงานผลิตผงมัทฉะที่ได้รับมาตรฐานการผลิตระดับสากล FSSC 22000

ด้วยเหตุที่กระแสมัทฉะมาแรงจนฉุดไม่อยู่ เราชวนธีรภัทร์มาพูดคุยถึงวิธีการสร้างแบรนด์ MATCHAZUKI ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่แบรนด์เติบโต โดยยังคงการเป็นพื้นที่คอมมิวนิตี้ของคนรักมัทฉะ, การทำให้มัทฉะดื่มง่ายถูกปากคนไทย จนถึงคำถามตัวโตๆ ว่า มัทฉะฟีเวอร์เป็นเพียงกระแสที่ถูกจุดติดครู่หนึ่งเท่านั้นหรือไม่?

เท้าความให้ฟังหน่อยว่าอะไรทำให้คุณหลงใหลเครื่องดื่มที่ชื่อว่ามัทฉะ

ต้องย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นผมไปเรียนต่อที่อเมริกา และมีช่วงที่เริ่มหันมาสนใจเรื่องสุขภาพ เลยเริ่มค้นหาว่ามีอะไรที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้นบ้าง จนได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่ามัทฉะ

ตอนนั้นหลายคนยังไม่คุ้นกับมัทฉะเท่าไหร่ ที่อเมริกาเองก็หาดื่มยากมาก จนวันหนึ่งผมได้ลองดื่มมัทฉะลาเต้เป็นครั้งแรกแล้วรู้สึกประทับใจมาก มันมีรสชาติที่กลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ และพอได้อ่านเพิ่มเติมก็พบว่ามัทฉะมีประวัติยาวนานและมีคุณค่าทางวัฒนธรรมสูง หลังจากนั้นผมก็ดื่มมัทฉะเป็นประจำแทบทุกวัน

ถึงตอนไหนที่ทำให้คุณรู้สึกว่าความรักในมัทฉะต่อยอดเป็นธุรกิจขั้นจริงจังได้

ต้องบอกว่าเราไม่ได้เริ่มทำ MATCHAZUKI เพราะมองว่ามันเป็นธุรกิจ แต่เราเริ่มจากการแก้ปัญหาให้กับตัวเองที่หามัทฉะดื่มยากในไทย แต่พอทำไปสักพักเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองต่อว่า มีคนอื่นอีกหรือเปล่าที่กำลังเจอปัญหาแบบเรา

ตอนกลับมาประเทศไทยปี 2014 ผมค้นพบว่ามัทฉะในประเทศไทยหาดื่มยากมาก เท่าที่หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าคุณภาพก็ไม่ดีเทียบเท่าที่เราเคยดื่ม จนเราเกิดความรู้สึกอยากแก้ pain ponit ตรงนี้ ก็เลยลองศึกษาข้อมูลดูว่ามัทฉะเขาผลิตกันที่ไหน ผลิตยังไง แล้วติดต่อตัวแทนที่เขาผลิตจากฝั่งญี่ปุ่นเพื่อลองนำเข้าผงมัทฉะ 

ช่วงแรกเราเน้นขายให้กับกลุ่มคนที่ชอบมัทฉะจริงๆ ตอนนั้นยังไม่มีระบบกดใส่ตะกร้าในเว็บไซต์เหมือนทุกวันนี้ด้วยซ้ำ วิธีขายของเราคือโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถ้าใครสนใจก็ค่อยติดต่อผ่านอีเมล ปรากฏว่ามีคนสนใจติดต่อมา ยอมรับว่าแปลกใจเหมือนกัน เพราะเราไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนจำนวนมากชอบมัทฉะเหมือนเรา 

ฐานลูกค้าของ MATCHAZUKI คือใคร?

MATCHAZUKI เกิดมาจากกลุ่มคนรักมัทฉะก็จริง แต่ฐานลูกค้าที่ทำให้แบรนด์เติบโตจนถึงทุกวันนี้มาจาก B2B (business-to-business) เรียกว่าเกือบ 100% มาจากร้านกาแฟอินดี้สเปเชียลตี้คอฟฟี่ที่มองหาวัตถุดิบชั้นดี ซึ่งแนวคิดแบบนี้แมตช์กับแนวทางของเราที่อยากเสิร์ฟของมีคุณภาพแก่ลูกค้า

ส่วนอีกพาร์ตหนึ่งก็ยังขายสินค้าให้กับคนที่เป็นมัทฉะเลิฟเวอร์เหมือนกับเรา ตรงกับชื่อแบรนด์ MATCHAZUKI ที่แปลว่าความรักความหลงใหลในมัทฉะ

ในยุคที่มัทฉะยังไม่กลายเป็นเทรนด์เหมือนทุกวันนี้ MATCHAZUKI มีวิธีการสื่อสาร core value ของแบรนด์ไปถึงลูกค้ายังไง

ด้วยความที่ยุคนั้นคนอาจจะยังไม่รู้จักมัทฉะดีเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นวิธีการสื่อสารของเราต้องเริ่มตั้งแต่นับหนึ่ง เช่น ทำให้คนเข้าใจว่าผงมัทฉะต่างไปจากผงชาเขียวยังไง มันต่างกันตั้งแต่การเพาะปลูก วิธีเก็บเกี่ยว จนถึงการแปรรูป

 เครื่องมือหลักๆ ในการสื่อสารนอกจากเว็บไซต์ก็คือเพจเฟซบุ๊กที่เราเริ่มสร้างตั้งแต่ตอนปี 2014 เป็นความโชคดีที่อัลกอริทึมของเฟซบุ๊กตอนนั้นช่วยส่ง คือเราโพสต์คอนเทนต์มีคุณภาพออกไป ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือยอดรีช ยอดแชร์ เป็นหมื่นเป็นแสน จากที่แบรนด์รู้จักแค่เฉพาะกลุ่มก็เริ่มมีคนสนใจมากขึ้นจำนวนมาก จนมีแอบคิดว่าจริงๆ เราไม่ต้องมีเว็บไซต์ก็ได้ (หัวเราะ)

ใครที่คุ้นเคยกับ MATCHAZUKI มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้วจะเห็นว่าคอนเทนต์ส่วนใหญ่ของเราคือการแชร์สูตร แชร์ให้เห็นว่ามัทฉะเอาไปทำอะไรได้บ้าง เอาไปทำเป็นเครื่องดื่ม เป็นขนม คนที่ชอบเขาก็แชร์คอนเทนต์ อีกส่วนหนึ่งก็เข้ามาติดต่อขอซื้อสินค้า

 เราเริ่มต้นจากความตั้งใจที่เรียบง่าย คืออยากทำสินค้ามัทฉะคุณภาพดี เพราะเชื่อว่าสินค้าดีจะดึงดูดคนที่รักมัทฉะเหมือนกันให้มาพบกันเอง จนกลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่อบอุ่นอย่างทุกวันนี้

นอกจากเรื่องของการสื่อสารมีปัจจัยไหนอีกที่ทำให้ MATCHAZUKI มีฐานลูกค้าเหนียวแน่น ทั้งที่ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมามีแบรนด์มัทฉะเกิดใหม่จำนวนไม่น้อย

(หยุดคิดครู่หนึ่ง) คิดว่าเป็นเรื่องของการ ‘caring’  คือไม่ว่าจะทำคอนเทนต์หรือทำโปรดักต์ เราปรารถนาอยากให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด สมัยก่อนเราเจอคำถามว่าทำไมผงมัทฉะของเราถึงราคาสูง เราก็ต้องอธิบายได้ว่าผงชาของเรามันพรีเมียมยังไง ผงมัทฉะสีเขียวเข้มแบบนี้หมายถึงมัทฉะคุณภาพดีนะ ระหว่างทางเราก็เก็บฟีดแบ็กจากการขายมาปรับปรุงพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ทำซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้นับสิบปีจนลูกค้าเชื่อใจเรา

เรามองว่าเราเป็นแค่มัทฉะเลิฟเวอร์คนหนึ่ง แต่ไม่ใช่มัทฉะเลิฟเวอร์ที่อยู่บนยอดสุดของพีระมิดถึงขั้นต้องมีพิธีรีตองการชงเป๊ะ หรือต้องชงมัทฉะเกรดราคาเป็นหมื่น เราอยากเซอร์วิสคนที่ชอบดื่มมัทฉะ ชอบในคุณประโยชน์ของมัทฉะ แต่ก็ยังเอนจอยความอร่อยของมัทฉะได้ด้วย โปรดักต์ทั้งหลายที่ออกมาเลยเน้นออกมาเพื่อคนกลุ่มนี้

ยกตัวอย่างโปรดักต์สักชิ้นที่ MATCHAZUKI มีต่อลูกค้า

ผมนึกถึงสินค้าที่เรียกว่า ‘starter kit’ มันเป็นเหมือนกับชุดชงชาเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการแล้วอยากจะลองชงมัทฉะด้วยตัวเอง เราก็จัดเป็นเซตเครื่องมือชงชาขึ้นมา 1 เซต ซึ่งสามารถดูวิธีการชงผ่านคอนเทนต์ที่เรามีในเฟซบุ๊กหรือยูทูบ แม้กระทั่งน้องๆ แอดมินในทีมเราก็เทรนให้เขาสามารถช่วยเหลือตอบคำถามลูกค้าที่กำลังหัดเรียนรู้วิธีการชงมัทฉะ

จากโปรดักต์ที่เป็น starter kit เลยนำมาสู่ไอเดียสินค้าใหม่ๆ ที่เน้นตอบโจทย์ผู้บริโภคแบบ B2C มากขึ้นใช่หรือเปล่า

เบื้องหลังมันเกิดขึ้นตอนช่วงโควิด คือตอนนั้นเราเน้นขายกลุ่มลูกค้า B2B เป็นหลัก B2C อาจมีบ้างประปราย แต่พอช่วงโควิด ร้านอาหาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ถูกสั่งปิดหมด ปรากฏว่ามีลูกค้าที่เป็น B2C ติดต่อเข้ามาซื้อสินค้ามากขึ้น ยิ่งสะท้อนว่ามีลูกค้าที่อยากซื้อมัทฉะไปชงทานเองที่บ้าน เราเลยตัดสินใจพัฒนาโปรดักต์เพื่อลูกค้ากลุ่มนี้ 

ไม่ว่าจะขนาดซองที่เล็กขึ้น เมื่อก่อนเราผลิตปริมาณขั้นต่ำอยู่ที่ 100 กรัม ก็ลดลงมาเหลือปริมาณ 40 กรัม หรือผลิตในรูปแบบ 3 in 1 เป็นผงมัทฉะผสมกับนมผงและน้ำตาลสามารถนำไปละลายน้ำชงเป็นเมนูมัทฉะลาเต้

จนเมื่อปีที่แล้วเราต่อยอดคิดค้นเมนู Coconut Matcha หรือผงมัทฉะผสมผงน้ำมะพร้าวที่เป็นแบบ 2 in 1 ฉีกซองชงดื่มได้ทันทีซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เมนูนี้มาจากข้อมูลที่รีเสิร์ชซึ่งเราพบว่าคนไทยนิยมนำมัทฉะไปผสมกับน้ำมะพร้าว พอมาลองทำดื่มเองก็พบว่าเมนูนี้อร่อยจริงๆ จนเราตั้งคำถามว่าเราทำให้เมนูมัทฉะน้ำมะพร้าวดื่มง่ายกว่านี้ได้ไหม สามารถทำดื่มเองที่บ้านโดยไม่ต้องเตรียมน้ำมะพร้าว เตรียมทั้งผงมัทฉะ ก็เลยเกิดมาเป็นสินค้าขายดีตัวนี้

ในฐานะคนที่อยู่ในวงการมัทฉะมานาน คิดว่าอะไรที่ทำให้มัทฉะได้รับความนิยมจนกลายเป็นกระแสไปทั่วโลก

ผมคิดว่ามีอยู่ 2 ปัจจัย

ข้อ 1 คือของอะไรที่ไม่ดีจริงจะอยู่ได้ไม่นาน แต่การที่ประวัติศาสตร์การดื่มชาอยู่ได้มาเป็นพันๆ ปีเพราะมันมีคุณค่าในตัวมันเอง เสน่ห์ของมัทฉะคือมันมีประโยชน์ เป็นของมีประโยชน์ที่อร่อย สามารถนำไปทำเมนูได้มากมาย เรียกว่ามันมีคุณสมบัติที่พร้อมจะแมสได้ทุกเมื่อ

ข้อ 2 คือช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบรรดาอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพจากฝั่งยุโรปเริ่มสนใจมัทฉะกันมากขึ้น ประจวบเหมาะกับเทรนด์เรื่องเฮลตี้กำลังมา จากความสนใจของอินฟลูเอนเซอร์ถูกส่งต่อมาถึงกลุ่มผู้ติดตามจนขยายเป็นวงกว้างไปทั่วโลกรวมถึงในไทยดังที่เห็นตอนนี้

ในฝั่งประเทศญี่ปุ่นที่เป็นต้นตำรับมองปรากฏการณ์มัทฉะฟีเวอร์ยังไง

น่าแปลกใจเหมือนกันที่กระแสมัทฉะญี่ปุ่นไม่ได้ฟีเวอร์เมื่อเทียบกับประเทศอื่นหรือบ้านเรา อาจจะพอมีกระแสอยู่บ้างตามร้านคาเฟ่ต่างๆ แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เน้นบริโภคชาใสหรือชาที่เป็นแบบ ready to drink มากกว่า 

ส่วนตัวคุณคิดว่าเทรนด์มัทฉะที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเพียงกระแสที่เกิดขึ้นชั่วคราวไหม

ผมตั้งคำถามถึงสิ่งนี้เหมือนกัน เพราะจากข้อมูลที่มีคือเทรนด์มัทฉะมันไม่ได้โตแค่ 10% หรือ 20% แต่มันโตภายในเดือนเดียว 4-5 เท่า จนมีช่วงหนึ่งกระแสเริ่มตกลงมา แต่ตกลงในจุดที่อยู่ระดับสูงมากๆ เมื่อเทียบกับฐานความนิยมเดิม ผมเลยคิดว่าตอนนี้มัทฉะไม่ใช่แค่เทรนด์ที่มาเล่นๆ แล้วก็ไป 

จากความนิยมในมัทฉะเลยนำมาสู่ปัญหามัทฉะขาดตลาด ในมุมของ MATCHAZUKI มีวิธีรับมือปัญหานี้ยังไงบ้าง

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเจอกับปัญหาแบบนี้มาก่อน ต้องยอมรับว่าส่งผลกับเรามากจริง ๆ จากที่เคยมีสินค้าพร้อมส่งเสมอ กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าสั่งซื้อแล้วเรายังไม่สามารถจัดส่งได้ทัน แม้เรา ทีมผู้ปลูกและทีม R&D จากญี่ปุ่นจะพยายามหาทางออกกันอย่างเต็มที่แต่ก็ต้องใช้เวลา 

เราขอขอบคุณทุกความเข้าใจ และขอยืนยันว่าเรากำลังเร่งแก้ไขด้วยความตั้งใจ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าคุณภาพที่ทุกคนรักจะกลับมาโดยเร็วที่สุด

อีกมุมหนึ่งพอเราเจอกับปัญหานี้ก็ถือเป็นโอกาสให้เรากลับไปปรับแก้ระบบ supply chain หลังบ้านใหม่ จะทำยังไงในเมื่อทรัพยากรมีจำกัด จะบาลานซ์การกระจายสินค้ายังไงให้หลังบ้านยังเหลือสต็อกและทั่วถึงลูกค้าทุกๆ ราย ยกตัวอย่างการจำกัดจำนวนการซื้อต่อสัปดาห์ก็เป็นสิ่งที่เราทำเพื่อแก้ปัญหานี้

สามารถแก้ปัญหามัทฉะขาดตลาดด้วยการหาซื้อจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่ใช่จากประเทศญี่ปุ่น เช่นจากประเทศจีนได้ไหม

เราไม่เคยปิดกั้นเรื่องการนำเข้ามัทฉะจากประเทศอื่น ที่ผ่านมาเราเคยทดลองคุณภาพมัทฉะจากจีนหรือแม้แต่จากประเทศอื่นๆ มาเทียบกับที่เราใช้อยู่ แต่เรายังไม่เจอคุณภาพแบบที่สามารถขายให้กับลูกค้าได้ ถ้าในอนาคตเจอคุณภาพมัทฉะจากจีนแบบที่เราต้องการก็อาจจะเปิดใจ ตอนนี้เลยยังนำเข้ามัทฉะจากญี่ปุ่น 100%

ถ้าอย่างนั้น เกณฑ์มัทฉะคุณภาพดีในแบบของ MATCHAZUKI ต้องมีอะไรบ้าง

ต้องบอกว่ามัทฉะเป็นผลผลิตทางการเกษตรชนิดหนึ่งซึ่งมีคาแร็กเตอร์สี กลิ่น และรสต่างกันไป ผลิตจากแต่ละโรงงานก็สร้างความแตกต่างเช่นกัน อย่างมัทฉะคุณภาพดีสีที่ได้ก็จะต้องเป็นสีเขียวสวย กลิ่นข้อนี้แล้วแต่ความชอบอาจเป็นกลิ่นแนว floral (ดอกไม้) หรือกลิ่นแนวนัทตี้

ส่วนรสชาติโดยปกติมัทฉะที่ดีจะต้องขมน้อย ฝาดน้อย มีความอูมามิ โดยรวมเราต้องแมตช์ทั้ง 3 ข้อนี้ (สี กลิ่น และรส) เพื่อให้มัทฉะที่เราขายมีคุณภาพและราคาที่ลูกค้าสามารถนำไปขายต่อหรือนำไปชงดื่มเองได้

การมีพาร์ตเนอร์เป็น tea master ในประเทศญี่ปุ่นถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้ MATCHAZUKI ได้มัทฉะคุณภาพดีต่างจากที่อื่นหรือเปล่า

จะว่าอย่างนั้นก็ได้ คือนอกจาก tea master เรายังมีพาร์ตเนอร์ทั้งในฝั่งที่เป็นฟาร์มและโรงงานผลิต โดยปกติวิธีการทำงานของเรากับฝั่งญี่ปุ่นที่ทำมาตลอด 10 ปี คือเราจะส่ง requirement ว่าเราอยากได้มัทฉะประมาณไหน 

เช่นอยากให้หอมกลิ่นคั่วกว่านี้อีกนิดหนึ่ง เราก็จะส่งมัทฉะที่เป็นตัวเบสไปให้เขาเบลนด์แล้วบดเป็นผงเพื่อส่งกลับมาให้เราลองเทสต์ ทีม R&D ในประเทศไทยก็จะทดสอบว่าตรงกับที่เราต้องการแล้วหรือยัง กระบวนการปรับแก้ส่งไปกลับจากไทยไปญี่ปุ่นจะอยู่ราวๆ 2-3 รอบถึงไฟนอล 

บางครั้งฝั่งเราก็มีบินไปหา tea master ที่ญี่ปุ่น เพื่อนำตัวอย่างไปให้เขาดูว่าอยากได้โปรดักต์ประมาณไหนเพราะคุยต่อหน้าอธิบายให้เข้าใจง่ายกว่า ในทางกลับกันฝั่งญี่ปุ่นเองก็บินมาหาเราเพราะเขาอยากรู้ว่าลูกค้าคนไทยต้องการมัทฉะประมาณไหน ต่างจากที่ญี่ปุ่นยังไง

นอกจากพาร์ตเนอร์ฝั่งญี่ปุ่น MATCHAZUKI ยังมีการคอลแล็บกับแบรนด์ไทยหลายเจ้า ช่วยเล่าถึงแนวทางการตลาดจุดนี้ให้ฟังหน่อย

มันเกิดจากการตั้งคำถามว่าเราตั้งใจทำแบรนด์นี้เพราะอะไร เราอยากทำให้คนรักมัทฉะมากขึ้น แนวทางของเราที่กำลังทำอยู่ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือการหาพาร์ตเนอร์ที่มีเจตจำนงเหมือนกันคืออยากส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ดังนั้นการคอลแล็บกันก็จะทำให้กลุ่มคนหน้าใหม่ๆ ได้รู้จักหรือลองมัทฉะมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มลูกค้าของเราก็จะได้ลองโปรดักต์ใหม่ๆ ที่ทำจากมัทฉะ

ยกตัวอย่าง Almond Matcha Spread (เนยถั่ว) ที่ทำกับแบรนด์ Paweenee, นมโอ๊ตมัทฉะที่ทำกับแบรนด์ Goodmate หรือโปรตีนพืชมัทฉะที่ทำกับแบรนด์ Proove ทางฝั่งพาร์ตเนอร์เขาก็แจ้งว่าได้รับฟีดแบ็กที่ดี แล้วก็ยังมีคาเฟ่อีกหลายร้านที่เราเคยไปร่วมงานด้วย หลายๆ เคสต์ที่เราได้ร่วมคอลแล็บทำให้เราตื่นเต้นและภูมิใจที่ได้เห็นมัทฉะถูกนำไปแมตช์เป็นเมนูต่างๆ แล้วมีคนชอบ

คุณพบเจอความยากหรือความท้าทายอะไรบ้างตลอดหลายสิบปีที่อยู่ในวงการธุรกิจมัทฉะ

ต้องบอกว่าความยากมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ช่วงที่ทำธุรกิจแรกๆ ความยากคือทำให้ลูกค้าเข้าใจว่ามัทฉะกับชาเขียวมันต่างกันยังไง พอมาถึงยุคนี้ความต้องการมัทฉะของผู้คนเยอะขึ้น ผู้ขายเยอะขึ้น ก็เกิดปัญหาเรื่องซัพพลายอย่างที่เล่าไป ความท้าทายก็กลายเป็นจะหาผงมัทฉะคุณภาพดีเข้ามาขายให้ลูกค้าต่อเนื่องยังไง 

ผมเชื่อว่าทุกธุรกิจมีปัญหาและความท้าทายรออยู่ระหว่างทาง แต่สิ่งสำคัญคือจะทำยังไงให้เรียนรู้และปรับตัวได้รวดเร็ว ถ้าหาเจอ สิ่งนี้จะทำให้แบรนด์เติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น

คุณยังสนุกกับการทำ MATCHAZUKI เหมือนวันแรกอยู่หรือเปล่า

ความตั้งใจของเราจากวันแรกที่เริ่มทำ MATCHAZUKI คืออยากให้คนได้ลองมัทฉะคุณภาพดี ถึงทุกวันนี้ความตั้งใจนั้นก็ยังไม่เปลี่ยน ที่เปลี่ยนไปคือโจทย์ว่าจะทำยังไงให้ผู้คนได้ลองมัทฉะได้อร่อยมากขึ้น หาทานง่ายมากขึ้น หรือดีต่อสุขมากขึ้น หรือในอนาคตไม่ใช่แค่คนไทยที่ได้ทานมัทฉะของเรา วันหนึ่งเราอาจจะส่งมัทฉะจากแบรนด์เราไปขายในต่างประเทศ

โจทย์เหล่านี้ทำให้เรายังสนุกไปกับการทำแบรนด์ในทุกๆ วัน โดยที่ความเชื่อยังเหมือนเดิมคืออยากทำให้ผู้คนเข้าถึงมัทฉะง่ายขึ้นและรักมัทฉะมากขึ้น

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

You Might Also Like