นโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการใช้คุกกี้

บริษัท ทุนดี จำกัด (“บริษัท”) มีความจำเป็นต้องใช้คุกกี้ในการทำงานหลายส่วนของเว็บไซต์เพื่อรับประกันการให้บริการของเว็บไซต์ที่จะอำนวยความสะดวกในการใช้บริการเว็บไซต์ของท่าน โดยบริษัทรับประกันว่าจะใช้คุกกี้เท่าที่จำเป็น และมีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลของท่านโดยสอดคล้องกับกฎ หมายที่เกี่ยวข้อง และจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่เป็นกรณีการใช้คุกกี้บางประเภทที่อาจดำเนินการโดยผู้ให้บริการภายนอก ทั้งนี้ เมื่อท่านเข้าใช้บริการเว็บไซต์ บริษัทจะถือว่าท่านรับทราบและตกลงนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้แล้ว โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ในการปรับปรุงนโยบายฉบับนี้ตามแต่ละระยะเวลาที่บริษัทเห็นสมควร โดยบริษัทจะแจ้งให้ท่านทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์นี้... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

250 Years of Birkenstock

7 สเตปที่ทำให้ Birkenstock แปลงโฉมจากรองเท้าฮิปปี้ที่คนไม่เอา สู่แฟชั่นที่คนเท่และสายลักชูฯ ต้องมีติดบ้าน 

เชื่อว่า Birkenstock น่าจะเป็นหนึ่งในรองเท้าแตะยอดนิยมของใครหลายคน ด้วยดีไซน์ที่เรียบแต่มีอะไร แถมยังใส่สบายแบบที่ผู้ใช้งานพร้อมโฆษณาให้ปากต่อปาก ชนิดที่ Birkenstock ติดท็อป 5 ของแบรนด์รองเท้าระดับโลก

86% ของผู้ซื้อ Birkenstock ยังกลายเป็น loyalty customer ที่ต้องการกลับมาซื้อซ้ำ และรูปลักษณ์ยังโดนใจคนทุกกลุ่ม ด้วยสัดส่วนมิลเลนเนียล 31%, เบบี้บูมเมอร์ 30%, เจนฯ X 27% และเจนฯ Z 12% ความน่าสนใจคือแม้ฐานลูกค้าของแบรนด์จะเป็นผู้หญิงกว่า 72% แต่ชัดเจนว่า Birkenstock ดึงดูดคนทุกเพศทุกวัย

แต่เชื่อไหมว่ารองเท้าแตะสัญชาติเยอรมันอายุ 250 ปีนี้ เคยเป็นรองเท้าที่หลายคนไม่เอา และกว่าจะพลิกภาพลักษณ์จนได้มงในวันนี้ก็เหนื่อยใช่ย่อย Capital List ตอนนี้จึงสรุป 7 สเตปที่ทำให้ Birkenstock แปลงโฉมจากรองเท้าฮิปปี้ที่คนไม่เอา สู่แฟชั่นที่คนเท่และสายลักชูฯ ต้องมีติดบ้านมาคลายความสงสัย

อ้อ! แต่ถ้าใครอยากลงลึกเรื่องราวของแบรนด์เข้าไปอ่านเรื่องราวแบบจัดเต็มได้ที่ capitalread.co/birkenstock หรือ capitalread.co/biztory-birkenstock

1. Fussbett Comfort พื้นรองเท้าเอกสิทธิ์ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาเท้าให้ผู้คน

Birkenstock เริ่มพัฒนาพื้นรองเท้าแบบ Fussbett หรือ footbed ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย Konrad Birkenstock ได้ออกแบบพื้นรองเท้าภายในที่เลียนแบบรูปทรงธรรมชาติของเท้ามนุษย์ ใช้วัสดุหลักเป็นไม้ก๊อกที่มีความยืดหยุ่นและระบายอากาศดีเยี่ยม ในปี 1963 รุ่นแรกอย่าง Madrid ถูกเปิดตัว โดยพื้นรองเท้านี้ได้รับการปรับปรุงเพื่อให้เหมาะกับเท้าทุกประเภท

Fussbett ช่วยให้รองเท้า Birkenstock ไม่เพียงแต่สวมใส่สบาย แต่ยังช่วยแก้ปัญหาเท้า เช่น การกระจายน้ำหนักและลดแรงกระแทก ทำให้รองเท้าได้รับความนิยมผ่านการบอกต่อแบบปากต่อปากมาจนถึงปัจจุบัน

2. Versatile Design ดีไซน์ที่ใส่ได้ทุกโอกาส ตั้งแต่วันสบายๆ ไปจนถึงลุคเท่แบบไม่ต้องพยายาม

จากงานวิจัย Understanding Birkenstock Footwear: A Laddering Study โดย ชัชวาล เกษมรุ่ง พบว่านอกจากรองเท้าจะสวมใส่สบายแล้ว หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนตัดสินใจซื้อ Birkenstock คือดีไซน์ที่ใส่ได้ทั้งในวันสบายๆ และวันที่ต้องการลุคแบบ business casual ทั้งยังให้ลุคเก๋ เท่แบบไม่ต้องพยายาม

3. Targeted Marketing การตลาดถูกจุดจนพลิกเกมให้มีที่ยืน

ในอดีต Birkenstock เป็นแบรนด์รองเท้าที่คนมองว่าไม่สวยงาม แถมดีไซน์ยังยูนิเซ็กซ์เกินไป ไม่เหมาะกับยุคสมัยที่ชายหรือหญิงจะใส่รองเท้าที่บอกเพศของตน นอกจากนั้น การใส่รองเท้าแตะออกจากบ้านยังไม่ใช่เรื่องปกติที่คนทั่วไปจะทำในตอนนั้น

ถัดมาอีกหน่อย เมื่อได้นำเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกาก็ถูกมองว่าเป็นรองเท้าฮิปปี้สายกบฏ กว่าจะได้รับความนิยมก็ช่วงที่ดาราเซเลบหยิบ Birkenstock มาใส่ พร้อมกับการที่แบรนด์ออกรองเท้ารุ่นใหม่ๆ ที่ทำให้คนมีตัวเลือกมากขึ้น นั่นทำให้แบรนด์เริ่มมองเห็นลู่ทางของการเปลี่ยนภาพลักษณ์ตนเองมาสู่รองเท้าสวมใส่สบายที่สายแฟก็ใส่ได้

หลังจากภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เปลี่ยนไป Birkenstock เริ่มวางตำแหน่งตัวเองเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียม ราคาที่สูงสะท้อนถึงวัสดุที่มีคุณภาพ งานฝีมือ และความทนทาน แบรนด์ยังเน้นการตลาดที่สื่อสารให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อสุขภาพเท้า 

4. Global Partnerships การคอลแล็บและพาร์ตเนอร์ที่ช่วยขยายฐานแฟนไปทั่วโลก

เมื่อแบรนด์เริ่มได้รับความสนใจในแวดวงแฟชั่น จากแต่เดิมที่แบรนด์ไม่เคยให้คนนอกเข้ามายุ่งเรื่องดีไซน์ ก็ได้เชิญ Marc Jacobs มาเป็นผู้ออกแบบให้แบรนด์ หลังจากนั้น Birkenstock ก็เปิดตัวว่าร่วมงานกับโมเดล Heidi Klum 

จุดเปลี่ยนอีกครั้ง คือในปี 2013 เมื่อ Phoebe Philo ได้นำ Birkenstock รุ่น Arizona มาติดขนมิงก์ จนคนเรียกว่า ‘furkenstocks’ นั่นเองที่ทำให้ Birkenstock ได้รับผลดีไปด้วย และตัดสินใจร่วมงานกับกลุ่มและแบรนด์หรูยักษ์ใหญ่อย่าง Valentino, Proenza Schouler, Dior และ Manolo Blahnik ปัจจุบัน Birkenstock ยังมีคอลเลกชั่นที่คอลแล็บมากมาย นอกจากได้ฐานลูกค้าเพิ่ม ยังสร้างการซื้อซ้ำได้อีกด้วย

5. Omnichannel Experience ประสบการณ์ช้อปแบบไร้รอยต่อ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

ยังคงเป็นเรื่องจริงที่การเลือกรองเท้าที่หน้าร้านย่อมทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้มากกว่า นั่นทำให้ไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 แบรนด์วางแผนเพิ่มจำนวนสาขามากขึ้น ด้วยเห็นว่าผู้บริโภคหันกลับมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริง หรือการจับ และลองจริงในร้าน

ถึงอย่างนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่องทางออนไลน์สำคัญต่อการเติบโตของแบรนด์ไม่น้อย ในปี 2015 หรือเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว แบรนด์ได้ก่อตั้ง Birkenstock Digital GmbH ขึ้นเพื่อลุยช่องทางขายออนไลน์โดยเฉพาะทั้งเว็บไซต์ใหม่ แอพฯ มือถือ รวมถึงการทำคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ เป็นข้อดีให้ในช่วงโควิด-19 ที่ไลฟ์สไตล์ผู้คนเปลี่ยนไป คือต้องการความสบายมากขึ้นเมื่ออยู่บ้าน ทำให้ยอดขายแบรนด์พุ่งกระฉูด

นั่นเองจึงเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าเมื่อปี 2020 ยอดขายออนไลน์ของแบรนด์ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยอดขายที่สูงขึ้นนี้มาพร้อมกับการออกแบบประสบการณ์การซื้อที่ดี เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ใช้งานง่าย มีบริการจัดส่งฟรีและการคืนสินค้า สิ่งที่น่าสนใจคือตามข้อมูลของ Reichert เมมเบอร์ของ Birkenstock ในช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น 36% จากปีที่แล้ว รวมเป็น 6.9 ล้านราย ทั้งยังมีแนวโน้มใช้จ่ายมากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นเมมเบอร์ถึง 25%

นอกจากช่องทางการขายแล้ว แบรนด์ยังเน้นการทำคอนเทนต์ในโลกออนไลน์ที่บอกเล่าจุดเด่น รวมถึงเรื่องราวของแบรนด์ ไม่ว่าจะความสบาย ความเป็นธรรมชาติ ไลฟ์สไตล์ เบื้องหลังการผลิตที่ทำให้คนรู้สึกเข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น ไปจนถึงความยั่งยืนของแบรนด์ 

6. Eco-conscious Creation ความยั่งยืนและธรรมชาติเป็นที่หนึ่ง

Birkenstock เป็นอีกแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาก ตั้งแต่วัสดุที่เลือกใช้วัสดุธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และนำไปรีไซเคิลต่อได้ง่าย เช่น ไม้ก๊อกที่ได้จากต้นโอ๊ก ซึ่งเก็บเกี่ยวได้โดยไม่ทำลายต้นไม้ และเป็นวัสดุรีไซเคิลได้ง่าย การเลือกใช้หนังคุณภาพสูงจากแหล่งที่ยั่งยืน ลดการใช้น้ำและไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย

ในแง่การผลิต ด้วยโรงงานของแบรนด์ตั้งอยู่ในยุโรปที่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสูงอยู่แล้ว ทำให้รองเท้าแต่ละคู่ผลิตด้วยกระบวนการที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ วัสดุเหลือใช้ยังมักถูกนำกลับมาใช้ใหม่

และอย่างที่รู้กันดี สิ่งที่ทำให้คนแนะนำ Birkenstock กันปากต่อปาก ไม่เพียงเป็นเรื่องความสบาย แต่ยังเพราะรองเท้าแต่ละคู่นั้นทนทานใช้งานได้นาน จึงช่วยลดการซื้อรองเท้าใหม่บ่อยๆ ได้ ที่สำคัญ รองเท้าหลายรุ่นของแบรนด์ยังส่งซ่อมได้

7. Craftsmanship Heritage มาตรฐานความคราฟต์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นสู่การตลาดแบบปากต่อปาก 

อายุอานาม 250 ปีของแบรนด์ไม่ใช่เพียงตัวเลขที่บอกความเก่าแก่ แต่ยังบอกถึงความคราฟต์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพราะบรรพบุรุษของ Birkenstock นั้นคือ Johannes Birkenstock ช่างทำรองเท้าระดับปรมาจารย์ ก่อนจะส่งต่อความตั้งใจในการผลิตรองเท้าที่ดีและทนทานมายังรุ่นหลานๆ ที่พยายามผลักดันการผลิตรองเท้าที่เหมาะกับการเดินจริงๆ

หนึ่งในคำสำคัญคือของแบรนด์คือ ‘Naturgewolltes Gehen’ ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Natural Walking’ หรือ ‘Walking as Nature Intended.’ ซึ่งแบรนด์ยึดถือเป็นปรัชญาสำคัญที่ต้องออกแบบรองเท้าที่ช่วยให้ผู้สวมใส่เดินในลักษณะที่ใกล้เคียงกับการเดินตามธรรมชาติมากที่สุด ผ่าน footbed ที่เลียนแบบการเดินเท้าเปล่าบนพื้นธรรมชาติ เน้นการกระจายน้ำหนัก และช่วยให้เท้าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

แม้ปัจจุบัน แบรนด์จะไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของครอบครัว Birkenstock โดยตรงแล้ว แต่อยู่ภายใต้เครือ LVMH ตั้งแต่ปี 2021 Birkenstock ก็ยังคงเน้นคุณค่าของฝีมือการผลิตที่บางส่วนยังคงเน้นการผลิตด้วยมือ ทั้งฐานการผลิตที่ยังมุ่งเน้นการผลิตในเยอรมนีเป็นหลัก 

การอยู่ในเครือ LVMH นั้นก็เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ในระดับโลกนั่นเอง เพราะเมื่อเดือนตุลาคม 2023 แบรนด์ได้ IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแม้ในวันแรกของการซื้อ-ขาย ราคาหุ้นจะต่ำกว่าราคา IPO ถึง 11% แต่ก็เป็นอีกก้าวสำคัญของแบรนด์ในการขยายธุรกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกนั่นเอง

อ้างอิง

Writer

พิลาทิสและแมว

Illustrator

แล้วแต่จะคิด ชีวิตคนละแบบ

You Might Also Like