2366
April 29, 2025

ธุรกิจไทยปรับตัวยังไงในยุคกำแพงภาษีและวิกฤติเศรษฐกิจ

ข่าวเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการค้าโลกในช่วงที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นนโยบายด้านภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อระบบการค้าเสรีทั่วโลก การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ภาษีนำเข้าใหม่ทำให้ธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นทันที ทั้งยังส่งแรงกระเพื่อมไปยังห่วงโซ่อุปทานของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้บริบทของมาตรการด้านภาษีที่เข้มงวด ธุรกิจจำนวนมากทั่วโลกจึงต้องปรับตัวรับมือกับความไม่แน่นอนที่ไม่เคยพบมาก่อน

เมื่อระบบเศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในประเทศใดประเทศหนึ่งจึงก่อให้เกิดผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการจัดจำหน่ายที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบและตลาดระหว่างประเทศเป็นหลัก ทั้งต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงของกำลังซื้อ และความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้อนทับกันและสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับมหภาค

ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีเพื่อปกป้องตลาดภายในของตน ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างมีแนวโน้มปรับทิศทางการค้าเพื่อหาตลาดใหม่รองรับสินค้า ส่งผลให้การแข่งขันของตลาดส่งออกในหลายประเทศทวีความเข้มข้นขึ้น ขณะเดียวกัน สินค้านำเข้าจากประเทศอื่นที่มองหาช่องทางระบายสินค้าก็อาจหลั่งไหลเข้าสู่ไทยมากขึ้น ทำให้การแข่งขันในประเทศสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงเป็นบททดสอบสำหรับธุรกิจไทยในแง่ของการปรับตัว แต่ยังสะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการวางกลยุทธ์ระยะยาวเพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการค้า 

แล้วธุรกิจไทยควรเตรียมแผนปรับตัวและรับมือยังไงเมื่อเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะถดถอยอยู่แล้ว ต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกอย่างกำแพงภาษีที่ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและทำธุรกิจยากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก Keynote ตอนนี้ขอพาไปดู 3 กลยุทธ์ในการปรับตัวและรับมืออย่างมีประสิทธิภาพที่อาจช่วยพาธุรกิจฝ่าวิกฤติไปได้  

1. บริหารกลยุทธ์ ตั้งราคาอย่างยืดหยุ่น

การตั้งราคาสินค้า (pricing strategy) เป็นหัวใจสำคัญเมื่อต้องเผชิญต้นทุนผันผวนและแรงกดดันจากภายนอก ธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีอำนาจในการตั้งราคาได้เองหรือปรับกลยุทธ์ด้านราคาได้อย่างเหมาะสมย่อมมีโอกาสรักษากำไรและความได้เปรียบในตลาดแม้ในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

– วางแผนต้นทุนการผลิตอย่างเป็นระบบ
วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนในทุกมิติ ทั้งต้นทุนด้านวัสดุนำเข้า การผลิต การขนส่ง ทบทวนกระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ วิเคราะห์สภาพตลาดแล้วปรับราคาตามความเหมาะสมเพื่อคงส่วนแบ่งตลาดไว้ รักษากระแสเงินสดให้อยู่ในสภาพคล่อง แม้ต้นทุนภายนอกผันผวน

– ลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น มองหาวัสดุหรือชิ้นส่วนที่เสียภาษีนำเข้าน้อยหรือจัดหาในประเทศได้ เพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนที่ไม่แน่นอน นำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติต่างๆ มาช่วยบริหารจัดการแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนแรงงาน (labor costs) ที่สูงขึ้น

2. สร้างซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง
การบริหารจัดการซัพพลายเชน (supply chain management) อย่างมีกลยุทธ์ เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้า ธุรกิจที่ปรับโครงสร้างซัพพลายเชนได้ดีจะสามารถรักษาเสถียรภาพได้ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดังนี้

– ปรับโครงสร้างซัพพลายเชนและแผนการจัดซื้อ
วางแผนเปลี่ยนเส้นทางนำเข้าหรือเลือกซัพพลายเออร์จากประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ พร้อมทั้งกระจายความเสี่ยงด้วยการจัดซื้อจากหลายแหล่งเพื่อลดการพึ่งพาประเทศเดียว รวมถึงทบทวนกลยุทธ์การจัดซื้อ เช่น การกักตุนสินค้าในช่วงก่อนที่ภาษีจะปรับขึ้น เพื่อควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้

– บริหารสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ
ควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังให้เหมาะสม เพื่อรักษาสมดุลระหว่างต้นทุนการเก็บรักษาและความต่อเนื่องของการผลิต โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราภาษีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

3. ปรับโมเดลธุรกิจให้ทันเกมโลก
การวางแผนรับมือความเสี่ยงและพร้อมปรับโครงสร้างโมเดลธุรกิจ (business model adaptation) อยู่เสมอ จะทำให้ค้นหาโอกาสใหม่ได้อย่างทันท่วงทีและรักษาความสามารถในการแข่งขันเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว ซึ่งสามารถดำเนินการได้ดังนี้

– วางแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
ประเมินสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ ภาษีนำเข้า และกฎระเบียบในแต่ละประเทศ พร้อมจัดทำแผนรับมือทั้งในกรณีดีที่สุดและกรณีเลวร้ายที่สุด เพื่อเพิ่มความพร้อมในการตัดสินใจและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

– ค้นหาโอกาสใหม่ในตลาดที่ใช่
ศึกษาทิศทางของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อหาจุดแข็งที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ ระมัดระวังการลงทุนในอุตสาหกรรมขาลงที่เสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่น ธุรกิจที่พึ่งพาการส่งออกหรือนำเข้าสูง และมองหาโอกาสใหม่ในตลาดเกิดใหม่หรือตลาดที่สอดคล้องกับเมกะเทรนด์โลก แทนที่จะแข่งขันในตลาดที่อิ่มตัวอย่างจีนหรือสหรัฐฯ

สำหรับธุรกิจไทย นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะเร่งปรับตัว เสริมความแข็งแกร่ง และค้นหาเส้นทางใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ด้วยการบริหารราคาที่ยืดหยุ่น สร้างซัพพลายเชนที่คล่องตัว และปรับโมเดลธุรกิจให้สอดรับกับทิศทางโลก ธุรกิจที่มองไกลและลงมืออย่างมีกลยุทธ์จะไม่เพียงแต่ประคับประคองตัวผ่านพ้นวิกฤติ แต่ยังมีโอกาสเติบโตอย่างมั่นคงในตลาดโลกที่เปิดกว้างสำหรับผู้ที่พร้อมเสมอให้กับความเปลี่ยนแปลง

อ้างอิง

You Might Also Like