กลิ่นอายความหวัง
เปิดบันทึกความทรงจำผ่านกลิ่นของ JOURNAL ที่หวังให้น้ำหอมแบรนด์ไทยหอมไกลถึงตลาดโลก
Mango Sticky Rice เมนูขวัญใจมหาชนอย่างข้าวเหนียวมะม่วง กลายมาเป็นน้ำหอมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นมะม่วงสุกสีเหลืองทอง กะทิ และมะพร้าวคั่ว หวนให้นึกถึงความทรงจำครั้งที่มาลิ้มลองเมนูนี้ที่ประเทศไทย
Ratjadamnern Perfume บอกเล่าความหวัง ความฝัน และเอกลักษณ์อันโดดเด่นของมวยไทย ด้วยน้ำหอมกลิ่นน้ำมันมวยและกลิ่นหนังของนวม ที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเชียร์มวยแบบสุดมันอยู่ข้างสนามราชดำเนิน


จะเห็นว่าน้ำหอมที่ยกตัวอย่างมานี้ ไม่ได้มีดีแค่บอกเล่าถึงกลิ่นและส่วนผสมที่แปลก ใหม่ ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกเรื่องราวความเป็นไทยที่ชัดแบบตะโกนออกมาอีกด้วย
เรากำลังพูดถึง JOURNAL น้ำหอมสัญชาติไทยที่เชื่อว่ากลิ่นสามารถบันทึกความทรงจำที่ทำให้ย้อนคิดถึงห้วงเวลาหนึ่งของชีวิต ผ่านการหยิบเรื่องราวระหว่างเดินทาง มาผสมผสานกับภูมิปัญญา วัตถุดิบธรรมชาติ และเสน่ห์ความเป็นไทย มาบรรจุไว้ในขวดน้ำหอมอันเป็นเอกลักษณ์
JOURNAL เกิดจากความหวังอันเต็มเปี่ยมของ ฟ้า–ธนัญญา สุธีรชัย Managing Director และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งที่ฝันอยากเห็นน้ำหอมของคนไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก แน่นอนว่าเส้นทางที่จะทำให้ความหวังนั้นเป็นจริง ไม่ได้หอมหวนเหมือนดั่งกลิ่นน้ำหอมของ JOURNAL

ถึงแม้ทันทีที่เปิดหน้าร้านสาขาแรก จะได้รับความนิยมเกินคาดถึงขั้นต้องจำกัดจำนวนการซื้อเพียงคนละ 4 ขวดเท่านั้น จนทำให้คุณฟ้าและสามีผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์เคยเล่นมุกแซวกันขำๆ ว่าสิ่งเดียวที่จะหยุดการเติบโตของ JOURNAL ได้คือทุกคนหยุดเดินทาง
ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ทำให้คนต้องหยุดเดินทางกันจริงๆ อย่างในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ถือว่าเป็นวิกฤตของหลายๆ แบรนด์เช่นกัน แต่ฟ้ากลับมองมันเป็นโอกาสที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ด้วยเรื่องราวอันน่าสนใจที่ซุกซ่อนอยู่ในน้ำหอมทุกขวดของ JOURNAL และแนวคิดการทำธุรกิจให้กลายเป็นของฝากที่ต่างชาติเลือกช้อป คนไทยเลือกใช้ ทำให้ Issue สตรี Wish เนื่องในวาระวันสตรีไทยสากลในครั้งนี้ เราขอพาไปเปิดสมุดบันทึกเรื่องราวการเดินทางของ JOURNAL ตั้งแต่ day 1 จวบจนขวบปีที่ 7 นี้กัน
บันทึกหน้าที่ 1
จุดประกายความหวังที่อยากปั้นแบรนด์ไทยให้โกอินเตอร์
“ตอนที่ฟ้ากับสามีไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ เรามีเพื่อนหลายสัญชาติมากๆ แล้วทุกคนก็ชอบชวนคุยกันว่าประเทศของเขามีอะไรดี แล้วเอามาเป็นของฝากให้กันเวลากลับบ้าน ตอนนั้นเราก็คิดว่าต่างชาติรู้จักอาหารไทยกันอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแบรนด์ไทยที่จะเอามาเป็นของฝากได้อาจจะยังไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฟ้าหวังอยากทำแบรนด์เป็นของตัวเองขึ้นมา เป็นแบรนด์ที่คนไทยภูมิใจ ชาวต่างชาติใช้แล้วชอบ เหมาะแก่การเป็นของฝาก ของขวัญ และใช้ในชีวิตประจำวันได้ แล้วไอเดียก็เกิดขึ้นเมื่อเธอกับสามีผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์มาด้วยกัน ได้ไปรู้จักกับนักปรุงน้ำหอม ที่ใช้กรรมวิธีการทำเหมือนตอนทำน้ำอบน้ำปรุงในสมัยโบราณและใช้วัตถุดิบที่มีความเป็นไทย
ทันทีที่ลองใช้ ฟ้าประทับใจในเรื่องความติดทนนาน และด้วยความที่ส่วนผสมหลักเป็นน้ำมันจากธรรมชาติ ทำให้ใช้แล้วผิวชุ่มชื้น ด้วยเสน่ห์เหล่านี้ทำให้ฟ้าเห็นว่ามีศักยภาพมากพอที่จะนำมาต่อยอดและสร้างแบรนด์ให้คนได้รู้จัก

“คอนเซปต์ของ JOURNAL เกิดมาจากความเป็นไทย เพราะเราเชื่อว่าน้ำหอมทุกกลิ่น เป็นเหมือนแบบบันทึกของความทรงจำ ทำให้เราหวนย้อนคิดไปถึงห้วงเวลาห้วงหนึ่งของชีวิต เราเลยหยิบ element ลายเส้นของแต่ละจังหวัดในประเทศไทยมาใช้ในการออกแบบลวดลายบนขวด เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของวัตถุดิบที่เอามาจากแต่ละพื้นที่ในไทย โดยเน้นการใช้ส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ เช่น สมุนไพร ใบเนียม ดอกมะลิ ดอกจำปี ดอกจำปา
“นำมาผ่านการปรุงอย่างละเมียดละไมแบบการทำน้ำอบน้ำปรุง ที่ผสมผสานกับวิธีทำน้ำหอมสมัยใหม่ร่วมด้วย ทั้งนำไปผ่านความร้อนให้มีกลิ่นหอมขึ้นมา หลังจากนั้นก็นำไปตำ บด และหมักอย่างน้อย 6 เดือน”
ฟ้าเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพว่าน้ำหอมของ JOURNAL ก็เหมือนกับไวน์ ที่ยิ่งบ่ม ยิ่งหมักไว้ ก็จะได้กลิ่นที่แน่นขึ้น เพราะฉะนั้นน้ำหอมขวดที่เก็บไว้นานก็จะยิ่งมีกลิ่นที่หอมมากขึ้น ถึงอย่างนั้นพอขึ้นชื่อว่าใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ การควบคุมกลิ่นให้เหมือนกันทุกล็อต ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก บางทีสภาพอากาศที่แตกต่างกัน ก็ทำให้กลิ่นต่างกันได้ แม้จะใช้ส่วนผสมในปริมาณเท่ากันหมดตาม


ซึ่งเรื่องนี้เธอจะอธิบายกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา หลายคนก็จะเข้าใจและมองว่ากลิ่นในแต่ละล็อตที่แตกต่างกันเล็กน้อยเป็นเสน่ห์ที่สนใจด้วยซ้ำ ทำให้ลูกค้าอยากมาลองเทสต์น้ำหอมในแต่ละล็อต และถ้าลองล็อตไหนแล้วชอบเป็นพิเศษก็ถึงขั้นซื้อตุนไว้หลายขวดเลยก็มี
บันทึกหน้าที่ 2
น้ำหอมที่ไม่ได้ขายแค่กลิ่น แต่อยากให้คนเต็มอิ่มไปกับเรื่องราว
ถ้าพูดถึงน้ำหอมคนจะนึกถึงเรื่องของกลิ่นมาเป็นอันดับแรก แต่สำหรับ JOURNAL ตั้งธงไว้ว่าจะหยิบเรื่องราวความเป็นไทยที่อยู่รอบตัวมาบอกเล่าก่อนเป็นอันดับแรก โดยเธอจะตั้งคอนเซปต์ของแต่ละคอลเลกชั่นก่อน แล้วค่อยคิดว่า top note แบบไหน กลิ่นอะไรที่จะเข้ากับคอนเซปต์นี้
เพื่อให้เห็นภาพกันมากขึ้น ฟ้าได้ยกตัวอย่างวิธีคิดหนึ่งในกลิ่นสุดฮิตอย่างข้าวเหนียวมะม่วง มาจากที่เธอเห็นต่างชาติชอบกินเมนูนี้กันมาก แต่ไม่สามารถหิ้วกลับไปฝากให้เพื่อนชิมได้ เลยเปลี่ยนมาเป็นกลิ่นที่ต่อให้ไม่เคยกินก็จะสัมผัสได้ถึงความหอมมะม่วงสุก กลิ่นกะทิ ข้าวเหนียวมูน ในขณะเดียวกันชาวต่างชาติที่เคยมาเที่ยวพอได้กลิ่นนี้ก็จะนึกถึงประสบการณ์ที่เคยมาเที่ยวไทย
“หรือคอลเลกชั่น Ghost ก็มาจากฮาโลวีนปีนึงที่เรารู้สึกว่าต่างชาติจะมีผีของเขาที่เอามาทำเล่นเป็นสินค้าต่างๆ แบบพวกแฟรงเกนสไตน์ แดร็กคูล่า แต่ทำไมบ้านเราถึงไม่มีใครหยิบผีไทยมาทำบ้าง เราก็เลยเอาผีที่คนรู้จักมาตีความเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ดูไม่น่ากลัวและทันสมัย


“เช่น กลิ่นแม่นาค ก็จะเป็นแม่นาคที่มีความเปรี้ยวนิดๆ น่ารักหน่อยๆ จะเป็นกลิ่นของมะนาว ที่ทำให้คนนึกถึงฉากเอื้อมมือยาวๆ ไปหยิบมะนาว มีกลิ่นหอมของกุหลาบ ดอกไม้แทนสัญลักษณ์ความรักที่แม่นาคมีให้กับพี่มาก หรืออย่างน้ำหอมกลิ่นกุมาร ก็จะเป็นกลิ่นสละเหมือนที่อยู่ในน้ำแดง เพิ่มลูกเล่นด้วยกลิ่นธูป ลูกค้าบางคนแค่เห็นชื่อก็ถูกใจซื้อเลยก็มี หรือบางคนต้องมาดมกลิ่นแล้วถึงชอบ แต่ก็มีนะคนที่ฟังชื่อแล้วรู้สึกกลัวก็เลยไม่ซื้อ”
ฟ้าหัวเราะ ก่อนจะยกตัวอย่างอีกคอลเลกชั่นหนึ่ง ซึ่งเป็นกลิ่นที่เธอเอ่ยปากเลยว่าชอบที่สุดคือกลิ่นสงกรานต์ ที่จะมีความหอมของน้ำอบน้ำปรุง มีกลิ่นแป้ง กลิ่นดอกมะลิ ชวนให้คิดถึงบรรยากาศของวันสงกรานต์จริงๆ โดยจะวางขายเฉพาะช่วงสงกรานต์ของทุกปีเท่านั้น และเธอรู้สึกเซอร์ไพรส์มากตอนที่วางขายกลิ่นนี้เข้าปีที่ 2 ปีที่ 3 มีลูกค้าซื้อกลิ่นสงกรานต์เยอะกว่าปีแรกที่วางขายเสียอีก และส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เคยใช้แล้วติดใจกลับมาซื้อซ้ำ

“แต่ก็จะมีบ้างที่เราเจอกลิ่นที่ชอบ แล้วพยายามคิดหาคอนเซปต์มาใส่ บางทีก็ใช้เวลานิดหนึ่ง กว่าจะได้คอนเซปต์ที่ลงตัว แต่ถ้ายังหาเรื่องราวไม่ได้กลิ่นนั้นก็จะถูกพักไปก่อน เพราะยังไงเราก็อยากให้ JOURNAL เป็นแบบบันทึกเรื่องราวตามที่ตั้งใจไว้”
และเมื่อพูดถึงน้ำหอมคนจะถูกแบ่งด้วยกลิ่นที่เหมาะกับผู้ชาย บางกลิ่นเหมาะกับผู้หญิง แต่น้ำหอมของ JOURNAL ตั้งใจจะให้เป็นกลิ่นที่ใช้ได้ทุกเพศ ทุกโอกาส
“น้ำหอมของเราตั้งใจจะให้เป็นแบบยูนิเซ็กซ์ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็หยิบน้ำหอมทุกกลิ่นมาใช้ได้ อย่างกลิ่นข้าวเหนียวมะม่วงก็จะมีความหวานมาก แต่ก็ยังมีกลิ่นแนวฟรุตตี้ๆ ที่ผู้ชายใช้ได้อยู่ หรืออย่างเราเองก็ชอบกลิ่นนางรำ ที่จะมีความหอมของเชอร์รี แต่ผู้ชายบางคนใช้แล้วชอบก็มี

“และเราสนับสนุนเรื่องความหลากหลายทางเพศ ทั้งในออฟฟิศเราที่มีเพศหลากหลายหลายคน เราก็ให้โอกาสทุกคนในการแสดงออกที่เท่าเทียมกัน อย่างในช่วง Pride Month เราก็ทำน้ำหอมกลิ่น Pride มีส่วนผสมของดอกไอริส เป็นดอกไม้ที่มีความหลากลายทางสายพันธุ์ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ มาผสมกับลิ้นจี่ ซึ่งเป็นตัวแทนความหลากหลายและมีเอกลักษณ์”
บันทึกหน้าที่ 3
เดินเกมรุกบุกตลาดในไทยให้เจาะใจชาวต่างชาติ
เมื่อปลุกปั้นสินค้าดีมีคุณภาพได้แล้ว แต่ถ้าอยู่ผิดที่ผิดตลาดก็อาจพลาดโอกาสที่จะเติบโตได้เช่นกัน เหมือนกับที่ตอนแรกฟ้าหวังอยากเห็นแบรนด์ไทยบินลัดฟ้าไปโกอินเตอร์ในตลาดโลก ผ่านการส่งออกน้ำหอม เธอจึงเลือกที่จะออกงานแฟร์ต่างประเทศ แต่กระแสตอบรับยังไม่ดีเท่าที่ควร
ทำให้ฟ้ากลับมาแก้เกมใหม่ คิดว่าควรทำการตลาดในไทยให้แข็งแรงซะก่อน เพราะไม่ได้มีชื่อเสียงในประเทศไทย การที่มันจะเป็นช็อปมีชื่อเสียงในต่างประเทศก็ค่อนข้างเป็นเรื่องยาก จึงตัดสินใจเปลี่ยนหมุดหมายใหม่เป็นการเปิดหน้าร้านสาขาแรกที่ One Nimman จังหวัดเชียงใหม่


“เราคิดว่าต้องมีช็อปในไทยก่อน เป็นช็อปที่สวย สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ให้เห็นข้างนอกแล้วรู้สึกอยากเดินเข้ามา พออยู่ข้างในร้านแล้วก็รู้สึกไม่อยากเดินออกไป แต่ถ้าจะอยู่ในกรุงเทพฯ คือค่าเช่าก็ค่อนข้างแพง เลยคิดว่าเราลองเริ่มที่ต่างจังหวัดดูดีไหม อย่างแถวเส้นนิมมานก็มีต่างชาติและคนไทยไปเที่ยวตรงนั้นเยอะ แทบจะเป็นเหมือนทองหล่อของเชียงใหม่เลยก็ว่าได้ อีกอย่างสามีของเราก็เคยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาก็รู้จักทำเลแถวนั้นดีประมาณหนึ่งเลย”
แล้วการตัดสินใจของฟ้าในครั้งนี้ทำให้เธอเอ่ยปากเลยว่ากระแสตอบรับดีเกินคาด ทั้งที่ในช่วงแรกที่เปิดร้านยังไม่ได้มีการโปรโมตอะไร แต่ก็มีลูกค้าวอล์กอินเพราะถูกใจดีไซน์ของร้าน พอได้มาลองใช้น้ำหอมดูแล้วชอบ ก็ซื้อแล้วกลับไปรีวิว หลังจากนั้นมันก็เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากเอง
“ลูกค้าเรากว่า 90% เป็นชาวต่างชาติ คือคนไทยก็มีเข้ามาบ้าง แต่ยังไม่ได้ซื้อเลยทันที ด้วยความช่วงแรกเราไปขายเองหน้าร้านอยู่หลายเดือนก็จะได้รับฟีดแบ็กจากลูกค้าที่เป็นคนไทยว่าแพงเกินไป ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้วไม่ค่อยมีน้ำหอมแบรนด์ไทยที่ขายราคาหลักพัน ซึ่งถือเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงสำหรับคนไทย

“แต่พอมีคนลองใช้แล้วรู้สึกว่ากลิ่นหอม ติดทนนาน คุณภาพดี และที่ต่างจากเคาน์เตอร์แบรนด์หลายๆ แบรนด์คือ ฉีดลงไปแล้วมันไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมาแรง เพราะเราใช้ส่วนผสมหลักจากธรรมชาติ พอคนใช้แล้วชอบก็มีไปรีวิวในช่องทางออนไลน์ แบรนด์เราก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น”
ยอดขายที่ดีตั้งแต่ช่วงแรกดูเหมือนจะเป็นตัวการันตีว่าธุรกิจนี้น่าจะไปได้สวย แต่สำหรับ JOURNAL นี่คือหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่ทำให้พวกเขาต้องมาวางแผนการผลิตใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า

“ตอนนั้นเราต้องขอจำกัดการซื้อของลูกค้าว่าไม่เกินคนละ 4 ชิ้นต่อ 1 SKU ฟังแล้วอาจจะดูน่าหมั่นไส้ว่าทำไมต้องจำกัดการซื้อ ทำให้ลูกค้าหลายคนผิดหวังที่มาถึงร้านแล้วไม่มีของ แต่เราไม่สามารถไปเร่งกระบวนการผลิตน้ำหอมของเราได้ เพราะต้องหมักไว้อย่างน้อย 6 เดือน
“และอย่างหัวสเปรย์น้ำหอมเราก็สั่งมาจากฝรั่งเศส จะใช้ lead time ในการรอของนาน ฝาน้ำหอมที่เป็นไม้ก็เป็นงานแฮนด์เมดที่ใช้เวลาทำเช่นกัน เราเลยแก้เกมโดยการวางแผนการผลิตล่วงหน้าใหม่ว่าจะขายจำนวนเท่าไหร่ ในช่วงไหนจะขายดีจนต้องเพิ่มกระบวนการผลิต เพื่อให้ลูกค้ามาซื้อแล้วได้น้ำหอมที่ชอบกลับไปแน่นอน”
บันทึกหน้าที่ 4
มากกว่าการขายน้ำหอม แต่ขายประสบการณ์ที่ทำให้คนหลงรัก
ถึงแม้ตลาดออนไลน์จะเป็นช่องทางช้อปปิ้งหลักของใครหลายคน แต่สำหรับสินค้าที่เป็นน้ำหอม ฟ้าเชื่อว่ายังไงลูกค้าก็ต้องอยากมาลองใช้ มาเทสต์กลิ่นถึงหน้าร้าน ตลาดออฟไลน์จึงเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับ JOURNAL และปัจจุบันมีช็อปกว่า 13 สาขา และคาดว่าภายในปี 2568 นี้จะมีถึง 15 สาขาเป็นอย่างน้อย


“ฟ้ายังเชื่อในการซื้อของแบบที่เห็นร้านจริงๆ และเราจะชอบพูดเสมอว่าเราไม่ได้แค่ขายน้ำหอม แต่เราขายประสบการณ์ ให้ลูกค้าเข้ามาในร้านแล้วชอบบรรยากาศของร้าน ได้คุยสอบถามกับพนักงานอย่างเต็มที่ เราจะบอกพนักงานเสมอว่าอย่าไปฮาร์ดเซลล์
“ทำให้ลูกค้าหลงรักกับแบรนด์เราก่อน คือเล่าให้ฟังว่าแบรนด์เราคืออะไร คอนเซปต์ของเราเป็นยังไง น้ำหอมแต่ละกลิ่น แต่ละคอลเลกชั่นมีเรื่องราวความเป็นมายังไง มอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกมิติ ถึงแม้วันนี้เขาจะยังไม่ได้ซื้อของเรา แต่เขาจำเราได้ก็ยังดี”
ส่วนช่องทางการตลาดออนไลน์ฟ้าก็ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีเช่นกัน ทั้งให้แอดมินตอบลูกค้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ให้ข้อมูลลูกค้าให้ได้เยอะที่สุด ทำให้มีลูกค้าหลายคนเอ่ยปากชมว่าประทับใจบริการ
บันทึกหน้าที่ 5
ทุกวิกฤตมีโอกาสสู่ประตูบานใหม่เสมอ
ในช่วงแรกที่แบรนด์กำลังไปได้สวย ฟ้าและสามีเคยเล่นมุกแซวกันขำๆ ว่าสิ่งเดียวที่จะหยุดการเติบโตของ JOURNAL ได้คือทุกคนหยุดเดินทาง จนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งจะเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้คนต้องหยุดเดินทางกันจริงๆ แน่นอนว่าช่วงนั้นถือเป็นวิกฤตของหลายๆ แบรนด์ แม้แต่ JOURNAL ก็เช่นกัน
“ตอนที่แบรนด์เริ่มมาช่วง 2 ปีแรก ค่อนข้างที่จะไปได้ดี แต่มาสะดุดในช่วงโควิด ทำให้เรารู้สึกท้อถึงขั้นอยากจะเลิกทำหลายรอบมาก แต่ก็มานั่งคิดว่ายังไงเราก็ต้องปรับตัวตลอดเวลา ถ้าน้ำหอมขายไม่ได้ เราก็ลองหาสินค้าอื่นมาขายดีไหม
“และด้วยความที่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีลูกค้าคนไทย ก็เลยอยากเปิดตลาดใหม่ให้คนไทยได้รู้จัก ซึ่งน้ำหอมอาจจะยังไม่ใช่สินค้าหลักที่เขาเลือกซื้อ แต่จะเน้นไปที่ฟังก์ชั่นการใช้งานมากกว่า เลยทำออกมาเป็นบอดี้ออยล์ที่เน้นให้ผิวชุ่มชื้น และผลพลอยได้อีกอย่างคือมีกลิ่นหอมติดทนนาน”

ที่ยังเน้นเรื่องความหอมเพราะฟ้าอยากให้สินค้าใหม่ลิงก์ไปที่สินค้าหลักของแบรนด์อย่างน้ำหอม เมื่อคนใช้ออยล์กลิ่นไหนแล้วชอบ ก็สามารถซื้อน้ำหอมกลิ่นนั้นมาใช้คู่กันได้ หรือจะทาออยล์อีกกลิ่นหนึ่ง แล้วฉีดน้ำหอมอีกกลิ่นหนึ่งผสมกันเพื่อให้ได้กลิ่นใหม่ตามที่ลูกค้าชอบได้
“สินค้าที่เป็นออยล์เราเริ่มทำการตลาดออนไลน์ แล้วเป็นที่รู้จักมากขึ้นตอนที่คุณยิปซี–คีรติ มหาพฤกษ์พงศ์ หยิบสินค้าเราไปทดลองใช้แล้วชอบ เขาก็รีวิวจนเป็นไวรัลในโซเชียล ทำให้คนไทยรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น”
หลังจากนั้นฟ้าก็ต่อยอดออกมาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ชาวเวอร์เจล บอดี้โลชั่น แฮนด์ครีม รูมสเปรย์ ดิฟฟิวเซอร์ที่มีทั้งแบบเสียบก้านและแบบเครื่องพ่นให้หยอดออยล์ลงไป ซึ่งเธอดีไซน์ให้เป็นเครื่องแบบ motorless ที่สามารถนำตัวน้ำหอมที่เป็นขวดเสียบเข้าไปกับตัวเครื่องได้เลย
“ช่วงที่แตกไลน์สินค้าออกมา เราหวังอยากเห็น JOURNAL อยู่ในทุกห้วงเวลาในการใช้ชีวิตของลูกค้า สมมติว่าชอบน้ำหอมกลิ่นนี้ คุณก็สามารถใช้ตอนอาบน้ำได้นะ เสร็จแล้วทาบอดี้ออยล์ผสมกันกับโลชั่นให้ได้ผิวสัมผัสที่ไม่เหลว ไม่หนืดเกินไป แล้วก็ใช้ดิฟฟิวเซอร์ในบ้านหรือใส่ในรถให้มีกลิ่นที่ชอบติดตัวไปตลอดได้”

อีกความหวังใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือฟ้าอยากพัฒนาตัวเองให้สามารถดูแลทีมที่เพิ่มขึ้นมาได้ และหวังพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งขึ้น เธอเล่าว่าในวันที่บริษัทยังไม่โตมาก มีทีมงานไม่กี่คน ทำให้เธอต้องทำทุกอย่าง แต่วันหนึ่งที่บริษัทโตขึ้น ต้องรู้จักแจกจ่ายงานให้คนอื่น และให้ทีมมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
“เราไม่ได้เก่งทุกอย่าง ตอนที่เริ่มทำแบรนด์เราไม่เคยทำรีเทลมาก่อน เราก็เรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง ถามคนอื่นบ้าง ในวันหนึ่งที่ทีมเริ่มใหญ่ขึ้น มีคนที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เคยอยู่ในสายงานนี้มานานหลายปี มีประสบการณ์มากกว่าเรา ก็ต้องให้เกียรติเขาในการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ให้เขามีความเป็นเจ้าของในงานของเขาด้วย
ถึงเธอจะมีความหวังใหม่เพิ่มขึ้นมา แต่ฟ้าก็ยังไม่ทิ้งความหวังเดิมตอนแรกเริ่มก่อตั้งแบรนด์ เธอยังอยากเห็น JOURNAL โกอินเตอร์ไปต่างประเทศ ทั้งมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหิ้วกลับไปเป็นของขวัญ ของฝาก ไปพร้อมๆ กับการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากกว่านี้ ผ่านการขยายสาขาไปยังจังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่ เมื่อสร้างแบรนดิ้งในไทยให้แข็งแกร่งแล้ว ก็อยากจะส่งออกไปต่างประเทศ อาจจะเริ่มจากประเทศเพื่อนบ้าน แล้วค่อยขยายไปยังฝั่งยุโรปและอเมริกา นี่เป็นภาพความหวังที่เธออยากเห็นมันเป็นจริงในสักวันหนึ่ง