Power of Faith

Harmenstone & KARAVA แบรนด์ไอเทมของสายมูฯ ที่ใช้ความเชื่อ ดีไซน์ และดาต้าขับเคลื่อนธุรกิจ

คุณเชื่อเรื่องโชคลาภหรือเปล่า

คุณเชื่อเรื่องของการมูเตลูหรือไม่

และอีกหนึ่งคำถาม–คุณเคยมูฯ อะไรสักครั้งในชีวิตไหม

แม้จะไม่มีทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ แต่ความเชื่อ ความศรัทธาที่อยู่คู่คนไทยมานาน จึงมีหลายๆ แบรนด์เห็นโอกาสและสร้างธุรกิจขึ้นมาจากความหวัง ความสบายใจ ความศรัทธาของผู้คนที่ต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือสมหวังในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ซึ่งแบรนด์ที่เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นผ่านตาคือ Harmenstone แบรนด์เครื่องประดับ กำไลหินสีเสริมมงคลที่มาในยุคแรกๆ และ KARAVA แบรนด์องค์เทพตั้งโต๊ะดีไซน์สุดโมเดิร์น ที่เปิดตัวพรีออร์เดอร์องค์เทพแล้ว sold out ภายในไม่กี่นาที

‘บุ๊ค–หัสวีร์ วิรัลสิริภักดิ์’ และ ‘เคน–นันท์ธร พรกุลวัฒน์’ คือเจ้าของผู้ปลุกปั้นแบรนด์ Harmenstone กับโจทย์ใน Day 1 ที่ว่า ‘อยากทำเครื่องประดับเสริมมงคลที่ใส่ได้ทุกวัน’ ต่อยอดมาสู่แบรนด์น้องใหม่อย่าง KARAVA องค์เทพตั้งโต๊ะที่องค์ประกอบของเทพแต่ละองค์ยังคงความถูกต้อง ครบถ้วน แต่มีดีไซน์สวยสะดุดตา

จุดเริ่มต้นในปี 2017 นับจนถึงตอนนี้ก็เข้าสู่ขวบปีที่ 6 เราจึงชวนบุ๊ค และเคนมาพูดคุยตั้งแต่แนวคิด ความเชื่อ ไปจนถึงเป้าหมายต่อไปในอนาคตของ Harmenstone และ KARAVA 

มูเตลูสั่งสมมาจากครอบครัว

แม้ทั้งบุ๊คและเคนจะเรียนจบวิศวะที่อิงกับหลักการและเหตุผลมากๆ แต่เมื่อเราถามถึงจุดเริ่มของการเข้ามาทำธุรกิจเป็นสายมูเตลูตัวจริงอย่างทุกวันนี้ คำตอบที่ได้มานั้นไม่ต่างกัน นั่นคือ “ความชื่นชอบส่วนตัว และคลุกคลีกับการบูชา ไหว้พระ ไหว้องค์เทพเจ้าจากครอบครัวตั้งแต่เด็กๆ”

ด้วยความที่บุ๊คและเคนเป็นครอบครัวคนจีนทั้งคู่ เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ ทีไร ครอบครัวคนจีนที่บ้านก็จะไหว้องค์เทพเจ้าตลอดอยู่แล้ว เรียกว่าไหว้กันทั้งปีเลยก็ว่าได้ 

ขณะที่บ้านของบุ๊คมีความพิเศษลงไปอีกนิด เพราะคุณพ่อของบุ๊คเป็นคนสะสมพระ ในบ้านก็จะมีตู้ตั้งโชว์มีพระจากวัดดังเป็นร้อยๆ องค์ เรียงรายอยู่ เยอะขนาดที่บุ๊คบอกว่าน่าจะสามารถเปิดเป็นร้านเช่าพระได้แล้ว

มารู้ตัวอีกที ทั้งบุ๊คและเคนก็ซึมซับการมูเตลู การไหว้พระ ไหว้เจ้า เข้าแล้ว

“หากย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนเราเห็นเทรนด์มงคลมาตั้งแต่จตุคามรามเทพ ตะกรุดต่างๆ ที่อาจจะมีความใหญ่ อาจจะดูโบราณ บวกกับอีกความชื่นชอบพวกเครื่องประดับหินอยู่ก่อนแล้ว แต่ในตอนนั้นเรายังไม่เห็นแบรนด์ที่ทำเครื่องประดับที่มีความใหม่ และใส่ได้ทุกวัน เราสองคนจึงตัดสินใจเริ่มทำธุรกิจแรกคือเครื่องประดับหินเสริมมงคลที่ดีไซน์ดูโมเดิร์นและสามารถใส่ได้ทุกวัน” เคนอธิบายถึงจุดเริ่มต้น

ทั้งสองเชื่อว่าความมงคล ความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบของความโบราณ แต่ความโมเดิร์นสมัยใหม่ก็สามารถสร้างความมั่นใจ นำพาความมงคล ความสำเร็จรอบด้านมาสู่ผู้คนได้เหมือนกัน 

รีดีไซน์ ด้วยความโมเดิร์น และมีชิ้นเดียวในโลก

Harmenstone จึงเกิดขึ้นเป็นแบรนด์เครื่องประดับอัญมณีหินแท้จากธรรมชาติที่เริ่มจากสร้อยข้อมือ ก่อนที่จะรีดีไซน์ขนาดหินให้หลากหลาย และเพิ่มในส่วนของชาร์มหรือตัวจี้ เพิ่มองค์เทพให้ทันสมัยมากขึ้น ขึ้นรูปด้วยเงินแท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว

 เพิ่มดีไซน์ลูกเล่นจับกลุ่มลูกค้าความเชื่อทำกำไลสร้อยข้อมือ 12 ราศี ทำคอลเลกชั่นเทพเจ้ามงคลที่มีทั้งองค์ปี่เซียะ องค์พญานาคราช องค์ท้าวเวสสุวรรณ และพระแม่ลักษมี ที่ถูกศรัทธาของลูกค้าไม่น้อย 

ก่อนที่จะขยายไลน์สินค้าทำให้ตอนนี้ Harmenstone มีสินค้าเสริมความมงคลครอบคลุมทั้งสร้อยข้อมือ สร้อยคอ และแหวนที่สามารถใส่เป็นแฟชั่น และใส่ได้ทุกวันแบบไม่เคอะเขินแม้แต่น้อย

บุ๊คบอกกับเราว่า อีกหนึ่งความแตกต่างของ Harmenstone คือ เครื่องประดับเสริมมงคลของ Harmenstone เป็นแบรนด์แรกๆ ที่ให้ลูกค้า customize เองได้ ตั้งแต่เลือกหินธรรมชาติ เลือกชาร์ม และองค์เทพตามด้านที่ต้องการเน้น ไปซื้อสินค้าที่หน้าร้านก็สามารถให้พนักงานแนะนำและเลือกแบบตามความชอบได้ด้วยตัวเอง

  “ใช้คำว่าเราอยากให้คนที่มาบูชา มาใส่เครื่องประดับของเราได้รับพลังจากองค์เทพและพลังจากตัวเอง เพราะเมื่อเกิดความเชื่อ มีศรัทธา มีความหวังและมั่นใจมากขึ้น เราจะมีความกล้าทำบางอย่างให้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้มากขึ้น” เคนอธิบายเสริม

ตาม DNA หรือ Tagline ของแบรนด์ที่ว่า ‘Empower Your Life’ เพราะทั้งบุ๊คและเคนเชื่อว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นจาก ‘สิ่งเล็ก ๆ’ เสมอ Harmenstone อยากเป็นตัวแทนสิ่งนั้น เพื่อเติมเต็มความศรัทธาและความมั่นใจให้ผู้คนก้าวรับความสำเร็จมากกว่าที่เคย

‘คารวะ’ ต่อยอดไลน์สินค้าองค์เทพตั้งโต๊ะ

จากการทุ่มเทแรงกายแรงใจที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อและความศรัทธาของทั้งสอง ทำให้ Harmenstone ที่กำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ในธุรกิจเครื่องประดับเสริมมงคลเข้าสู่ปีที่หกแล้ว และความเชื่อในแบรนด์ที่ลูกค้ามีให้ ผสานกับความชื่นชอบดีไซน์องค์เทพ พร้อมกับเรียกร้องให้ทำองค์เทพแบบตั้งโต๊ะมาตลอดนี่เอง ทำให้ทั้งสองต่อยอดไลน์สินค้าจากเครื่องประดับเป็นองค์เทพตั้งโต๊ะดีไซน์โมเดิร์น นำมาสู่แบรนด์น้องใหม่ที่ชื่อว่า KARAVA

เคนอธิบายขยายความอีกว่า “ ชื่อคารวะแก้ตัวจากแบรนด์แรกที่ต้องการให้จำง่าย  เพราะย้อนกลับไปวันแรกของการทำ Harmenstone ตอนนั้นอยากทำแบรนด์ที่เราอยากใส่ ตั้งใจทำให้มันดูเท่ เป็นสีดำ แต่พอทำไปเรื่อยๆ กลายเป็นเริ่มแมส ชื่ออาจจะจำค่อนข้างยาก และลูกค้าเป็นกลุ่มผู้หญิงค่อนข้างเยอะ ก็เลยปรับมู้ดแอนด์โทน”

‘คารวะ’ คือชื่อสามัญที่เรียบง่าย และสื่อสารออกไปอย่างชัดเจน ที่หมายถึงการเคารพสักการะบูชา ถ้าใครเห็นโลโก้ และแพ็กเกจจิ้งก็เห็นถึงความเรียบง่าย สงบนิ่ง แต่มีพลังที่ส่งออกมา

“เราตั้งใจออกแบบสร้างแบรนดิ้งให้ดูสงบนิ่ง แต่เติมไปด้วยพลัง พลังความสงบนิ่งที่แสดงถึงความเคารพที่มีต่อองค์เทพ เป็นการย้ำเตือนผู้บูชาในทุกๆ วันให้ระลึกถึงความสงบสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจ

“EMPOWER YOUR SOUL คือ ดีเอ็นเอ หรือ Tagline ของแบรนด์คารวะที่ต้องการตอกย้ำความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดที่พลังแห่งจิตวิญญาณให้ได้ ที่ทั้งบุ๊คและเคนเชื่อว่าทุกความสำเร็จล้วนเกิดจากสิ่งเล็กๆ ในจิตใจเราเสมอ เมื่อเรามีความเชื่อมั่น มั่นใจ และตั้งใจ ย่อมพาเราไปถึงจุดที่เราต้องการได้” เคนกล่าวย้ำกับเรา

และกว่าจะเห็นองค์พระพิฆเณศ และองค์ท้าวเวสสุวรรณตั้งโต๊ะที่มีดีไซน์สวยสะดุดตา แต่ยังคงรายละเอียดแบบต้นฉบับไว้ ทั้งคู่ใช้เวลาศึกษา และพัฒนาอยู่กว่า 2 ปี ด้วยเทคโนโลยี 3 มิติ ก่อนที่จะมาเปิดขายแบบพรีออร์เดอร์ และ sold out ภายในไม่กี่นาทีทุกครั้ง

บุ๊คที่เป็นคนดูเรื่องดีไซน์บอกว่า “ก่อนที่จะทำองค์เทพขึ้นมาสักองค์หนึ่ง ต้องศึกษารายละเอียดขององค์ท่าน แต่ละปางมีลักษณะแบบไหน อย่างองค์แรกที่เราทำคือองค์พระพิฆเนศปางประทานพร เราก็ต้องศึกษารายละเอียดต่างๆ พระหัตถ์ทั้ง 4 ที่ถืออาวุธมีความหมายต่างกัน เราก็ต้องมีให้ครบตามต้นฉบับ จากนั้นค่อยนำมาดีไซน์ให้ทันสมัยเข้ากับยุคมากขึ้น”

องค์เทพของแบรนด์คารวะออกแบบด้วยดีไซน์ที่เรียกว่า Modern Polygon ใส่ความเท่ ทันสมัย มีพลังให้เข้ากับเหลี่ยมมุมที่พิถีพิถัน ที่จะต้องนำองค์เทพมาขัดเก็บรายละเอียดด้วยมือทุกชิ้น

ความสวยงามของสินค้าอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ

และเพราะว่า Harmenstone และ Karava อยากไปสุดทั้งสองทาง ทั้งดีไซน์ที่สวยงามและความมงคลต้องมี เพราะฉะนั้นความสวยงามของสินค้าอย่างเดียวจึงไม่ใช่คำตอบของบุ๊คและเคน

‘ต้องถูกต้องตามหลักการ’ คืออีกคำตอบที่เราถามทั้งสองถึงหัวใจของการทำแบรนด์ และเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เน้นย้ำกับเราในทุกช่วงของบทสนทนาเสมอว่า เมื่อเราต้องการส่งต่อความมงคล เราต้องยึด core หลักคือการบูชาที่ถูกต้อง

ไม่ว่าจะเป็นสร้อยข้อมือ สร้อยคอ องค์เทพ หรือสินค้าใดๆ ที่มาจาก Harmenstone และ Karava จะต้องผ่านการทำพิธีมงคลทั้งพิธีพุทธาภิเษก พิธีเบิกเนตร หรือการปลุกเสก กับสถานที่ที่ผู้คนให้ความเคารพบูชาที่ขึ้นชื่อเรื่องความมงคลนั้นๆ มาก่อนแล้วทั้งสิ้น

องค์ปี่เซียะ ทำพิธีที่วัดหวังต้าเซียน ฮ่องกง

องค์พญานาคราช ทำพิธีที่ลานพญาศรีสัตตนาคราช นครพนม

องค์ท้าวเวสสุวรรณ ทำพิธีกับหลวงพ่อน้ำหอม วัดไร่กล้วย

องค์พระพิฆเนศ ทำพิธีที่วัดสมานรัตนาราม ฉะเชิงเทรา

พระแม่ลักษมี ทำพิธีที่วัดแขก คลองสี่

“นอกจากศึกษารายละเอียดของลักษณะขององค์เทพต่างๆ แล้ว ยังต้องดูเรื่องของการบูชา การทำพิธีก่อนจะส่งต่อความมงคลให้กับลูกค้าด้วย จะเห็นว่าองค์เทพของแบรนด์คารวะในปีหนึ่ง จะเปิดขายเพียงไม่กี่รอบ ราวๆ 3 รอบต่อปี เพราะว่าต้องดูฤกษ์มงคลในแต่ละช่วงเนื่องจากไม่ได้มีฤกษ์ที่เหมาะสมทุกวัน เราจะดูฤกษ์ทุกอย่างตั้งแต่เริ่มทำ ไปจนวันและเวลาวางขายก็จะดูฤกษ์ทั้งหมด”

ใช้ดาต้าช่วย research & development 

แม้จะทำธุรกิจกับความเชื่อ ความศรัทธา แต่สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้คือการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ทั้ง Harmenstone และ Karava ใช้ดาต้าเข้ามาช่วยในการหาอินไซต์ของลูกค้า ดูเทรนด์ที่สอดรับกับเทรนด์คนไทยและเทรนด์โลก จากนั้นจึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์เจาะลึก พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

“ตลาดสายมูเตลูบอกตรงๆ ว่าเป็น red ocean มากๆ เพราะเมื่อเทรนด์มามาก ก็มีหลายคนกระโดเข้ามา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ามาทำแบรนด์สไตล์นี้แล้วจะประสบความสำเร็จ สุดท้ายธุรกิจต้องคิดระยะยาว โปรดักต์ต้องได้ คุณภาพต้องได้ และเซอร์วิสต้องได้เช่นกัน ต้องมีเอเลเมนต์ให้ครบ ซึ่งเมื่อมีคู่แข่งเราก็ต้องพัฒนาทั้งเรื่องมู้ดแอนด์โทนของสินค้า ไม่ได้เน้นแค่ดีไซน์ที่สวยงาม แต่ต้องถูกต้องตามหลักการเคารพบูชาด้วย” บุ๊คอธิบายให้ฟัง

ไม่แปลกใจเลยว่า ความอิ่มเอมของการทำแบรนด์ของทั้งคู่นั้นสะท้อนออกมาผ่านสินค้าที่มีคุณภาพ และถูกต้องตามหลักการ เพื่ออยากเป็นส่วนเล็กๆ ที่ช่วยสร้างความหวัง ความเชื่อ ความศรัทธา ความสบายใจให้กับผู้คน

“จากตอนแรกที่ทำแบรนด์แล้วคนไม่รู้ จากนั้นก็ได้รู้เรื่องระหว่างทาง สุดท้ายมีคนเชื่อและใส่สินค้า ศรัทธาและเชื่อถือในแบรนด์เรา ก็เป็นอะไรที่น่าภูมิใจ” เคนทิ้งท้ายบทสนทนา

You Might Also Like