Hotpot War

เมื่อสงครามสุกี้เดือดไม่หยุด ‘สุกี้ตี๋น้อย-โบนัสสุกี้-ลัคกี้สุกี้’ ใช้กลยุทธ์อะไรมาดวลกัน

ถ้าจะบอกว่าปีนี้เป็นช่วงเวลาที่ตลาดชาบู-สุกี้แข่งขันกันดุเดือดที่สุดก็คงไม่ผิดนัก เพราะเราต่างเห็นแบรนด์น้อยใหญ่งัดทุกกระบวนท่ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งทำสงครามราคา เปิดตัวเมนูใหม่ ไปจนถึงการขยับขยายสาขาให้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากที่สุด ทำให้ตลาดชาบู-สุกี้ในปีนี้มีมูลค่าสูงกว่า 23,000-25,000 ล้านบาท

เจ้าใหญ่ในตลาดตอนนี้คงหนีไม่พ้น ‘สุกี้ตี๋น้อย’ แบรนด์ที่เริ่มจากร้านเล็กๆ สู่การขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ‘โบนัสสุกี้’ แบรนด์น้องใหม่ไฟแรงจากเจ้าตลาดเดิมอย่าง MK และ ‘ลัคกี้สุกี้’ แบรนด์ม้ามืดที่น่าจับตามอง

Recap ในวันนี้จึงขอพามาวิเคราะห์กลยุทธ์ของทั้ง 3 แบรนด์ยักษ์ในสมรภูมิสุกี้เดือดแบบหมัดต่อหมัด ว่าแบรนด์ไหนงัดจุดแข็งอะไรมาดวลกันบ้าง

วิเคราะห์กลยุทธ์สุกี้ตี๋น้อย

จุดเด่นของสุกี้ตี๋น้อยตั้งแต่ day 1 คือการเป็นร้านบุฟเฟต์ในราคาที่เข้าถึงง่าย เริ่มต้น 199 บาท ถึงแม้ปัจจุบันราคารวมเครื่องดื่มรีฟีลและ Vat จะอยู่ที่ 276 บาทเท่ากับโบนัสสุกี้และลัคกี้สุกี้ แต่เราก็มักจะเห็นสุกี้ตี๋น้อยจัดโปรโมชั่นอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะโปรลด 50% และเน้นขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 90 สาขา

ใน 9 เดือนแรกของปี 2568 สุกี้ตี๋น้อยทำกำไรได้ 800 ล้านบาท ลดลงกว่าปีที่แล้วกว่า 30% แต่ถึงอย่างนั้นกลับได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 40% การมีสายป่านยาวขึ้นจากที่บริษัท เจมาร์ทกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) เข้ามาถือหุ้นกว่า 30% เมื่อปี 2565 ก็ทำให้สุกี้ตี๋น้อยทำสงครามราคาจัดโปรโมชั่นต่อไปได้ และตั้งเป้าว่าภายในปี 2569 จะมีถึง 136 สาขา พร้อมคาดว่ารายได้จะแตะหลักหมื่นล้านบาท

ตี๋น้อยยังขยายพอร์ตในมือด้วยการแตกแบรนด์ ’ข้าวแกงสุกี้ตี๋น้อย‘ และตี๋น้อยบาร์บีคิว เพื่อลุยตลาดแมสยิ่งขึ้น และเปิดร้านตี๋น้อยโกลด์ เพื่อเจาะตลาดพรีเมียม จะเห็นว่ากลยุทธ์หลักๆ ของสุกี้ตี๋น้อยซึ่งถือเป็นแบรนด์ที่เปิดมานานสุด เทียบกับคู่แข่งอีก 2 เจ้า เน้นไปที่การเพิ่มฐานลูกค้าในวันที่ตลาดสุกี้มีผู้เล่นหน้าใหม่มากขึ้น

วิเคราะห์กลยุทธ์โบนัสสุกี้

เจ้าตลาดเดิมอย่าง MK ก็เห็นว่าบุฟเฟต์เป็นตลาดที่แข็งแรงและมีโอกาสเติบโตสูง จึงหันมาจัดโปรบุฟเฟต์อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนตัดสินใจแตกแบรนด์ลูกอย่างโบนัสสุกี้ที่หยิบช่องว่างทางการตลาดมาพัฒนาเป็นกลยุทธ์ 6P ได้แก่

Product : เมนูมากกว่า 60 รายการ โดยมีซิกเนเจอร์ อย่างหมูนุ่มหมักไข่โบนัส โรลปูอัดโบนัส เครื่องดื่มสลัชชีชาไทย ติ่มซำ ของทานเล่น และน้ำจิ้มที่เป็นเอกลักษณ์

Price : ราคาเข้าถึงง่าย รวมเครื่องดื่มรีฟีลและ Vat จะอยู่ที่ 276 บาท ทานได้ 2 ชั่วโมง 15 นาที พร้อมโปรโมชั่นต่อเนื่องทุกเดือน

People : ทีมพนักงานผ่านระบบเทรนนิ่งระดับ MK เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สนุก อบอุ่น และเป็นกันเอง สนับสนุนการจ้างงานคนในท้องถิ่นตามการขยายตัวของแบรนด์

Promotion Bonus : ให้โบนัสลูกค้ากับเมนูพิเศษที่แจกฟรีทุกโต๊ะ วันละสองรอบ ภายใต้คอนเซปต์ ‘ชั่วโมงโบนัส’

Place : ร้านขนาดใหญ่ เน้นความสะอาด พร้อมปักหมุดทำเลหัวเมืองใหญ่และเมืองรอง เน้นพื้นที่ชุมชนหนาแน่นและมีศักยภาพโต

Process : ความพร้อมทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน มาตรฐาน MK Group ระบบการจัดการที่สาขา จัดเก็บสินค้าอย่างมีระบบ สดใหม่ สามารถเสิร์ฟได้รวดเร็ว ระบบหลังบ้านที่รองรับการขยายสาขา

โดยแบรนด์ตั้งเป้าขยายให้ครบ 16 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 และในปี 2569 เตรียมขยายเพิ่มมากกว่า 70 สาขา พร้อมทะยานสู่ 100 สาขาภายในไตรมาส 2 ปี 2570 ซึ่งถือเป็นการเติบโตมากกว่า 6 เท่าในเวลาไม่ถึง 2 ปี

วิเคราะห์กลยุทธ์ลัคกี้สุกี้

แบรนด์ที่สาขาน้อยแต่ต่อยหนัก ถึงแม้จะเปิดมาถึง 3 ปี แต่มี 38 สาขา ซึ่งถือว่ายังไม่มากถ้าเทียบกับแบรนด์รุ่นพี่อย่างตี๋น้อย แต่เป็นแบรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจากรายได้ในปี 2567 ทะลุหลักพันล้าน มีกำไรกว่าร้อยล้านบาท และที่สะเทือนวงการบุฟเฟต์สุกี้ที่สุดคือบริษัทเซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ยอมจ่าย 940 ล้าน เพื่อเข้าร่วมทุนกว่า 40%

กลยุทธ์ของลัคกี้สุกี้ที่ผ่านมา ไม่ใช่การลงไปเล่นในสงครามราคา แต่เน้นเพิ่มไลน์อาหาร เช่น เพิ่มเนื้ออสเตรเลียและกุ้งแก้ว ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายเท่าเดิมคือ 276 บาทรวมเครื่องดื่มรีฟีลและ VAT แต่ได้อาหารที่หลากหลายและคุ้มค่า จึงอยากกลับมากินซ้ำ

นอกจากนี้ยังเลือกทำเลที่มีที่จอดรถ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่มากินดึก เนื่องจากร้านปิดถึงตี 2 และเกณฑ์การขยายสาขาต้องห่างจากกรุงเทพฯ ไม่เกิน 300 กิโลเมตร เพื่อสามารถควบคุมวัตถุดิบให้มีคุณภาพจากการขนส่งได้ รวมถึงแตกไลน์ธุรกิจอย่างลัคกี้บาร์บีคิว พร้อมตั้งเป้าว่าภายในปี 2571 จะขยายสาขาให้ถึง 120 สาขา และสร้างรายได้กว่า 5,000 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์หลักคือการรักษาคุณภาพและส่งต่อประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

ไม่ว่าสมรภูมิร้านชาบู-สุกี้บุฟเฟต์จะไปจบลงที่ตรงไหน แต่ก็เป็นบทพิสูจน์ครั้งใหญ่ให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัว จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดในระยะยาวและยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ขอบคุณภาพจาก สุกี้ตี๋น้อย, โบนัสสุกี้, ลัคกี้สุกี้

Writer

นักเขียนที่อยากเปลี่ยนเรื่องธุรกิจให้เป็นเรื่องสนุก และมีแมวกับกาแฟช่วยฮีลใจในทุกวัน

You Might Also Like