Love-Beef Relationship

อาร์เจนติน่ากับการจำกัดการส่งออกเนื้อเพื่อให้ประชาชนผู้รักเนื้อวัวไม่แพ้เมสซี่เข้าถึงได้ในราคาไม่แพง

คืนวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2022 ตามเวลาในประเทศไทย เราได้ยินเสียงโห่ร้องกู่ก้อง พร้อมหน้าตาของผู้คนที่เปี่ยมไปด้วยน้ำตาเปื้อนรอยยิ้ม เพื่อนฝูงพากันสวมกอด คนรักพากันแลกจูบ พร้อมกับธงชาติสีฟ้าขาวที่โบกสะบัด ไม่เฉพาะแค่ในประเทศอาร์เจนตินาเท่านั้น แต่ในทุกหนแห่งที่มีชาวอาร์เจนไตน์อาศัยอยู่ เมื่อทีมชาติฟุตบอลอาร์เจนตินาภายใต้การนำทีมของยอดนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi) สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3

นอกจากเมสซี่ และหัตถ์ของพระเจ้าอย่าง ดีเอโก มาราโดน่า (Diego Maradona) ที่เป็นเสมือนภาพจำของประเทศอาร์เจนตินา เมื่อเราพูดถึงประเทศนี้ในบริบทของชาวไทย อาจจะมีอีกสัก 2-3 สิ่งที่พอทำให้คุณหลับตาแล้วจินตนาการถึงอาร์เจนตินาได้ คุณอาจจะคิดถึงดนตรีและลีลาการเต้นที่เร่าร้อนแนบชิดอย่างแทงโก้ (Tango) และสิ่งสุดท้ายที่เป็นสัญลักษณ์อันลือชื่อของอาร์เจนตินาที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ เนื้อของอาร์เจนตินา

สาวกคนรักเนื้อต่างรู้กันว่า ถ้าพูดถึง อาเจนติเนียนสเต๊ก ชื่อนี้รับประกันความฟินนุ่มละมุนของรสชาติและเนื้อสัมผัส สเต๊กจากฟาร์มของอาร์เจนตินาถูกส่งเข้าประกวดที่งาน World Steak Challenge งานที่มีพาร์ตเนอร์คนสำคัญเป็นคณะกรรมการด้านอาหารของไอร์แลนด์ (Irish Food Board)

World Steak Challenge เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางให้ผู้ผลิตและซัพพลายเออร์เนื้อสามารถมาพบปะและโชว์คุณภาพของเนื้อที่ฟาร์มของตนประคบประหงมมาอย่างดีตลอดทั้งปี และสเต๊กจากฟาร์มของอาร์เจนตินาก็สามารถคว้ารางวัลสำคัญๆ ไปได้แทบจะทุกปีติดต่อกันทั้งสเต๊กแบบที่มาจากวัวที่ถูกปล่อยให้กินหญ้า (grass-fed) และสเต๊กแบบที่มาจากวัวที่เลี้ยงโดยธัญพืช (grain-fed)

CGTN America ทำสารคดีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเนื้อวัวของอาร์เจนตินาไว้ในปี 2016 ในสารคดีกล่าวไว้ว่า อุตสาหกรรมเนื้อของชาวอาร์เจนตินามีความสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ

ประชาชนชาวอาร์เจนตินารักการกินเนื้อวัวมากเป็นชีวิตจิตใจและมีระดับในการบริโภคเนื้ออยู่สูงเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอเมริกาใต้ สถิติย้อนหลังโดยเฉลี่ยแล้วคนอาร์เจนตินากินเนื้ออยู่ที่ประมาณ 109.38 กิโลกรัม ต่อคนต่อปี! ถือเป็นชาติที่ประชากรบริโภคเนื้อมากเป็นอันดับ 3 ของโลกเป็นรองเพียงแค่ออสเตรเลีย (121.6 กิโลกรัม ต่อคนต่อปี) และอเมริกา (124.1 กิโลกรัม ต่อคนต่อปี)

ที่มาของความรักความชอบในการบริโภคเนื้อของชาวอาร์เจนไตน์อาจต้องเล่าย้อนไปถึงช่วงศตวรรษที่ 16 ในช่วงที่ชาวสเปนเข้ามาตั้งถิ่นฐานและแผ่ขยายอาณานิคมจากเปรูมายังดินแดนของอาร์เจนตินา ทำให้มีการนำเข้าพันธุ์วัวมายังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่ราบต่ำปัมปัส (Pampas – พื้นที่ที่มีบริเวณกว้างกว่า 1.2 ล้านตารางกิโลเมตร ครอบคลุมหลายเมืองในอาร์เจนตินาเช่น บัวโนส ไอเรส, ซานตา เฟ่, ลา ปัมปา, ประเทศอุรุกวัย และบางพื้นที่ในบราซิล)

บริเวณปัมปัสเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งแร่ธาตุในดินซึ่งทำให้ต้นไม้ต้นหญ้าที่ขึ้นในบริเวณนั้นมีวิตามินและสารอาหารที่ดีสำหรับวัว อีกทั้งสภาวะอากาศที่กำลังดีกับการเจริญเติบโตของวัวยิ่งส่งผลให้วัวที่เพาะพันธุ์และเติบโตในบริเวณนั้นมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ความดีงามทั้งหมดจึงถูกกลั่นออกมาเป็นรสชาติของเนื้อวัวชั้นดีที่ชาวอาร์เจนไตน์สามารถสัมผัสมันได้จากวัวพื้นถิ่นที่เกิดและเติบโตในประเทศตนเอง

สาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้เนื้อวัวของอาร์เจนตินามีรสชาติที่น่าประทับใจระดับไปคว้ารางวัลสเต๊กชั้นเยี่ยมระดับโลกหลายปีติดต่อกันมาได้ คือการที่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงวัวในอาร์เจนตินานิยมเลี้ยงวัวแบบปล่อยให้วัวสามารถมีอิสระอยู่กินได้ตามธรรมชาติ วัวสามารถเดินเล่นในที่ราบได้ตามแต่ใจของมัน เชื่อกันว่าการเลี้ยงวัวให้มีอิสระเสรีนั้น ทำให้วัวมีความสุขและไม่เครียด ซึ่งนั่นย่อมส่งผลดีต่อผลิตผลเนื้อของมัน

นอกจากการอยู่อย่างมีอิสระแล้ว มื้ออาหารของพวกมันประกอบไปด้วยหญ้า ธัญพืช และพืชผักอื่นๆ ที่เพาะปลูกเองโดยเกษตรกรในพื้นที่ ถ้าเป็นคน เราคงพูดว่าพวกวัวเหล่านี้มีความเป็นอยู่แบบเฮลตี้ทั้งในแง่สุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจ

ดังนั้นการให้สารเร่งโต ฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะ จึงไม่อยู่ในพจนานุกรมการเลี้ยงวัวของเกษตรกรชาวอาร์เจนตินา เพราะอาหารที่วัวเหล่านี้ได้รับเป็นอาหารจากธรรมชาติ กระเพาะและลำไส้ของวัวจึงสามารถย่อยอาหารเหล่านี้ได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องพึ่งตัวช่วยทางวิทยาศาสตร์ใดๆ และนั่นจึงสะท้อนออกมาเป็นเนื้อวัวคุณภาพชั้นเยี่ยมแบบอาร์เจนติเนียนสไตล์

วัวจะถูกชำแหละเมื่อมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 450 กิโลกรัม (950- 1,000 ปอนด์) จากนั้นจะถูกตรวจสอบคุณภาพหลายขั้นตอนว่าปลอดภัยจากเชื้อต่างๆ ทั้งพวกปรสิต แบคทีเรีย หรือไวรัส จนมั่นใจว่าเนื้อวัวเหล่านี้ปลอดภัยและสามารถนำไปประกอบอาหารได้

เนื่องจากคนอาร์เจนไตน์สามารถผลิตเนื้อวัวชั้นดีได้ในประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมชาวอาร์เจนตินาจึงติดอันดับชาติที่นิยมบริโภคเนื้อวัวมากที่สุดในโลก แต่บนโลกที่ไร้พรมแดนเฉกเช่นทุกวันนี้ ชื่อเสียงเรื่องเนื้อวัวของอาร์เจนตินาไม่เพียงแค่ก้องดังอยู่ในประเทศเท่านั้น หากแต่ชาวต่างชาติต่างรับรู้ถึงกิตติศัพท์เล่าขานถึงคุณภาพชั้นเลิศของสเต๊กเนื้ออาร์เจนตินา นั่นจึงส่งผลให้อาร์เจนตินาเป็นชาติที่มีการส่งออกเนื้อเป็นอันดับที่ 5 ของโลกและลูกค้ารายใหญ่ของตลาดเนื้ออาร์เจนตินาคือ จีน

การส่งออกเนื้อวัวของอาร์เจนตินาถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจชั้นยอดให้กับประเทศเพราะสามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ซัพพลายเออร์และบริษัทขายเนื้อของอาร์เจนตินา สถิติตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 ถึง มิถุนายน 2021 อาร์เจนตินาส่งออกเนื้อไปแล้วทั้งสิ้น 929,000 ตัน และธุรกิจการส่งออกเนื้อของอาร์เจนตินาทำเงินให้กับประเทศทั้งสิ้น 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2020

ทุกอย่างดูเป็นไปอย่างงดงามทั้งในแง่การเลี้ยงดูปากท้องประชาชนให้สามารถมีเนื้อคุณภาพดี เพราะสามารถเลี้ยงวัวและผลิตเนื้อชั้นดีให้คนในประเทศกินได้ แถมยังสามารถส่งออกเพื่อสรา้งรายได้ให้แก่ประเทศได้ด้วย แต่อย่างที่เราได้เห็นตามหน้าข่าวอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับปัญหาความยากจนและเศรษฐกิจภายในประเทศอาร์เจนตินาที่สะสมเรื้อรังมานานหลายสิบปี และปัญหาเศรษฐกิจนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจการขายและส่งออกเนื้อของอาร์เจนตินาด้วย

อย่างที่เกริ่นไว้ว่าเนื้อวัว เกี่ยวข้องกับอาร์เจนตินาทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมการกินอยู่และเศรษฐกิจ การส่งออกเนื้อของอาร์เจนตินาเป็นไปได้สวย จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2021 รัฐบาลอาร์เจนตินาแบนการส่งออกเนื้อวัวเป็นเวลา 30 วัน

ทำไมรัฐบาลอาร์เจนตินาต้องประกาศแบนการส่งออกเนื้อวัว?

  เรื่องราวทั้งหมดเริ่มมาตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงที่อาร์เจนตินาเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงมากและนั่นพลอยทำให้หนี้สินระหว่างประเทศมีมูลค่าพุ่งสูงขึ้นทวีคูณ ประกอบกับการที่อาร์เจนตินาเคยมีประวัติการผิดนัดชำระหนี้เมื่อปี 2001 ทำให้เครดิตของประเทศอาจจะไม่ค่อยสู้ดีนักในสายตานักลงทุน จึงส่งผลให้มีนักลงทุนทยอยถอนการลงทุนจากประเทศ

เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดสัมพันธ์กันเป็นวงกลมจึงส่งผลให้ค่า GDP (Gross Domestic Product – ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือการนับรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศ) ต่ำลง คนจนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในขณะที่ราคาสินค้ามีราคาสูงขึ้น ทั้งหมดดูเป็นสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีเอาเสียเลยกับการบริหารประเทศของรัฐบาลอาร์เจนตินา

จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คำถามที่สำคัญคือ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการต้องแบนการส่งออกเนื้อวัวด้วย?

คนอาร์เจนตินารักการกินเนื้อวัว จนมีคำกล่าวที่ว่าเรากิน Asado (เทคนิคการปิ้งย่างเนื้อแบบบาร์บีคิว) กันทุกวันอาทิตย์กันในครอบครัว หรือไม่ก็เราใช้เนื้อวัวเป็นข้ออ้างในการชวนใครสักคนมากินเนื้อกับเราที่บ้าน ถือได้ว่าการกินเนื้อเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของชาวอาร์เจนไตน์ไปเสียแล้ว พวกเขากินเนื้อกันเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าราคาเนื้อวัวสูงขึ้นนั่นหมายความว่า ประชาชนบางส่วนอาจจะไม่สามารถเข้าถึงเนื้อวัวได้ 

และตามสถิติจากทางการอาร์เจนตินาก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ราคาเนื้อที่ขายในอาร์เจนตินาปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 20% ในปี 2021 ส่งผลให้ในปีนั้นคนอาร์เจนตินาบริโภคเนื้อน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์โดยคนอาร์เจนไตน์กินเนื้อเฉลี่ยที่ 46.1 กิโลกรัม ต่อคนต่อปี เทียบเท่ากับว่าบริโภคเนื้อน้อยลงถึง 25% เมื่อเทียบกับช่วงต้นยุค 2000s และน้อยลงถึง 40% ถ้าเทียบสถิติย้อนหลัง 50 ปี

ในแง่ผู้ผลิตเนื้อวัวที่อาจจะเอาบรรทัดฐานในการทำเงินให้กับธุรกิจเป็นที่ตั้ง จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าการส่งออกเนื้อวัวไปขายที่ต่างประเทศและได้รับเงินมาเป็นสกุลเงินที่มีค่ามากกว่าเงินเปโซที่ใช้อยู่ในประเทศน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ากับธุรกิจของตน แต่ในแง่การบริหารงานของรัฐบาลที่จำเป็นจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อความเป็นอยู่และปากท้องของประชาชนในประเทศ รัฐบาลอาร์เจนตินาจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อพี่น้องเลือดฟ้าขาวให้ยังคงธำรงไว้ซึ่งความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดอยู่ในทุกมื้ออาหารการกินเนื้อ

ทางการอาร์เจนตินาจึงมีนโยบายและประกาศออกมาด้วยความมุ่งหวังจะหยุดยั้งอัตราความยากจนในประเทศที่พุ่งเข้าไปถึง 47% แล้วในเดือนมิถุนายน 2021 และหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลอาร์เจนตินาประกาศขณะนั้นคือการระงับการส่งออกเนื้อวัวไปยังต่างประเทศโดยในตอนนั้นประกาศบังคับใช้ไว้ที่ 30 วัน 

แล้วนั่นเป็นนโยบายที่ดีและใช้ได้ผลจริงหรือไม่?

ในเชิงทฤษฎีการหยุดการส่งออกเนื้อวัว ส่งผลให้มีสต็อคเนื้อวัวไหลเวียนอยู่ในประเทศมากขึ้น ซึ่งนั่นควรที่จะหมายความว่าผู้ผลิตเนื้อมากมายหลายเจ้าควรจะต้องเอาเนื้ออกมาวางขายให้แก่คนในประเทศมากขึ้น เพราะไม่สามารถระบายสินค้าออกนอกประเทศได้ ราคาของเนื้อก็ควรที่จะลดต่ำลง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อรัฐบาลมีนโยบายการบนการส่งออกเนื้อเช่นนั้น กลับสร้างความไม่พอใจเป็นวงกว้างให้กับหลายภาคส่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกษตรกรผู้ผลิตเนื้อ และซัพพลายเออร์ขายเนื้อ

มีการประท้วงและชุมนุมเกิดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายดังกล่าวแต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลอาร์เจนตินายังคงยืนยันในแนวทางนี้ต่อไปจนถึงขั้นที่ว่าได้มีการพิจารณาขยายเวลาระงับการส่งออกเนื้อบางส่วนไปจนถึงสิ้นปี 2023

Miguel Schiariti ประธานสมาคมอุตสาหกรรมเนื้อของอาร์เจนตินา หรือ CICCRA ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า

“รัฐบาลไม่มีความเข้าใจกับวงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในการขยายช่วงเวลาการแบนการส่งออกเนื้อ เราสูญไปแล้วกว่า 100 ล้านเหรียญและนั่นยังเป็นการเปิดช่องว่างให้ประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงเกมการส่งออกเนื้ออีกด้วย”

ไม่แน่ใจว่านโยบายการระงับการส่งออกเนื้อของรัฐบาลอาร์เจนตินาเป็นนโยบายที่ดีหรือไม่ ในเชิงทฤษฎีอย่างที่ว่าไปมันควรออกมาในทางที่ดีต่อผู้บริโภคเพราะผู้ผลิตมีเนื้อที่จะทยอยส่งออกมายังตลาดมากยิ่งขึ้น แต่ในทางปฏิบัติราคาเนื้อในประเทศกลับปรับตัวสูงขึ้นจนไปแตะที่ราคา 5,000 เปโซต่อ 1 ปอนด์ อาจจะเนื่องด้วยค่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้นหรือเพราะความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ขายเนื้อในประเทศที่พากันตรึงราคาเนื้อไม่ให้ตกต่ำลงเกินจนทำให้ผู้ขายเนื้อไม่สามารถดำรงธุรกิจอยู่ได้

นอกจากราคาเนื้อไม่ได้ปรับตัวลงแล้ว การส่งออกเนื้อที่ถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศก็ลดน้อยถอยลงอีก จากเดิมที่อาร์เจนตินาติดอันดับการส่งออกเนื้อมากเป็นลำดับต้นๆ ของโลก แต่เมื่อรัฐบาลอาร์เจนตินาประกาศระงับการส่งออกเนื้อ นั่นเท่ากับว่า เงินที่จะไหลเวียนเข้ามาในประเทศก็ย่อมต้องน้อยลงไปอีก

นักวิเคราะห์เศรษฐกิจหลายคนออกมาให้ความเห็นต่อนโยบายการแบนการส่งออกเนื้อของรัฐบาลอาร์เจนตินาว่า ‘เป็นการเดินหมากผิด’ สิ่งที่ควรทำคือการเพิ่มการผลิตให้คนในประเทศมีเนื้อบริโภคได้เพียงพอในราคาที่เข้าถึงได้ และยังคงตัวเลขการส่งออกที่งดงามได้ต่อไปต่างหาก

ถึงอย่างนั้นก็ตามการบริหารสิ่งที่เกี่ยวพันจนเป็นเนื้อเดียวกันกับคนในประเทศทั้งในแง่ของวัฒนธรรม ไลฟ์สไตล์และเศรษฐกิจคงไม่มีทางง่าย และไม่มีอะไรผิดที่สุดหรือถูกต้องที่สุดอยู่ดี

อ้างอิง

Writer

อาจารย์ผู้สอนวิชา Introduction to World Cuisine ในมหาวิทยาลัย หญิงสาวผู้หลงรักอาหาร และโฮสต์รายการพอดแคสต์ชื่อ 'Bon Appétit ธุรกิจรอบครัว'

Illustrator

บรรณาธิการศิลปกรรม ที่ชอบกินกาแฟดำเป็นชีวิตจิตใจ

You Might Also Like