ดมตะ

‘ดมตะ’ แบรนด์ยาดมจากใต้ที่เสิร์ฟกลิ่นเมล็ดกาแฟชั้นดีจนสินค้า sold out ในงาน Coffee Fest 

‘รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยน้ำมันฉันใด มนุษย์ย่อมขับเคลื่อนด้วยกาแฟฉันนั้น’

ผิวเผินดูเป็นประโยคหยิกแกมหยอก แต่ในความเป็นจริง ทั้งผู้เขียนหรือคนอ่านส่วนใหญ่ล้วนต้องการสารคาเฟอีนจาก ‘กาแฟ’ ดีๆ สักแก้วช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าพร้อมออกไปใช้ชีวิต

ถามว่าคอกาแฟในบ้านเรามีจำนวนมากแค่ไหน ก็ต้องยกตัวสถิติจากกระทรวงพาณิชย์ ปี 2568 ที่ระบุว่า คนไทยหนึ่งคนดื่มกาแฟเฉลี่ย 340 แก้วต่อปี และรายได้ในอุตสาหกรรมธุรกิจกาแฟมีเงินสะพัดถึง 6.5 หมื่นล้านบาทแม้ในยามเศรษฐกิจซบเซา 

ต้องบอกว่ากาแฟหนึ่งแก้วให้อะไรเรามากกว่าที่คิด นอกเหนือจากตัวเลขมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่เป็นการแข่งขันสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆ ดังกรณีของ ‘เพชร–ธนเชษฐ์ กองสิงห์ และแซนด์–ศุภิสรา โกศลพฤทธ์’ อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ตัดสินใจร่วมกันทำแบรนด์ยาดมกลิ่นกาแฟที่มีชื่อว่าดมตะซึ่งสร้างปรากฏการณ์บูทแตกถล่มทลายในงาน Coffee Fest Thailand 2022

ณ เวลานี้ดมตะถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งแบรนด์สตาร์ทอัพที่น่าจับตามอง เราจึงชวนซีอีโอทั้งสองมาร่วมสนทนาถึงการปลุกปั้นแบรนด์ยาดมแบรนด์นี้ตั้งแต่วันแรก การทำโปรดักต์ให้ถูกใจคอกาแฟ และอีกสารพัดคำตอบที่มาพร้อมกับคำเชิญชวนให้ ‘ดมตะ’  ผ่านคอลัมน์ 5P ตอนนี้

Product
กาแฟที่ไม่ต้องดื่ม

“ส่วนตัวผมชอบกาแฟเป็นทุนเดิม หัดดื่มจากกาแฟใส่นมจนมาเป็นกาแฟดำ นานวันเข้าก็เริ่มหัดดริปกาแฟดื่มเอง จนวันหนึ่งเกิดความรู้สึกว่ากลิ่นกาแฟมันหอม หอมเกินกว่าจะอยู่แค่ในเครื่องดื่ม” 

เพชรเท้าความให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ดมตะด้วยแววตาเป็นประกาย ในฐานะคอกาแฟที่ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนนี้เป็นประจำทุกวี่วัน แม้กระทั่งระหว่างบทสนทนาก็มีแก้วกาแฟวางอยู่ไม่ไกลมือ 

วันธรรมดาวันหนึ่งเมื่อราว 5 ปีก่อน ขณะที่เพชรซึ่งกำลังศึกษาในคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท่ามกลางบรรยากาศง่วงเหงาหาวนอนในคลาสเรียนเขาเกิดความรู้สึกเล็กๆ ในใจว่าตอนนี้ถ้าได้กาแฟสักแก้ว หรือแค่ได้สูดกลิ่นคั่วหอมๆ จากเมล็ดกาแฟก็ยังดี 

สิ้นความคิดดังกล่าวพลันบังเกิดเป็นไอเดียว่า งั้นทำไมไม่ลองทำยาดมกลิ่นกาแฟไปเลยล่ะ?

“ผมคิดว่ากาแฟมันน่าจะมีดีมากกว่าแค่การดื่ม พอไปรีเสิร์ชก็พบว่า ‘กลิ่น’ ของกาแฟมันมีประโยชน์ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าโดยไม่ต้องดื่ม ประจวบกับช่วงที่ใกล้เรียนจบเลยเสนออาจารย์ว่าอยากทำโปรเจกต์จบเกี่ยวกับยาดมกลิ่นกาแฟ แต่อาจารย์มองว่าโปรเจกต์ที่เสนอต้องใช้เวลานานพอสมควรและหัวข้อไม่ตรงกับสิ่งที่เรียนมา สุดท้ายโปรเจกต์นี้เลยถูกพับเก็บไปก่อน” เพชรกล่าว

แต่อย่างที่ว่า หากรักสิ่งไหน สิ่งนั้นจะนำพาเราไป ระหว่างใกล้จบการศึกษาเพชรชวนแฟนสาวอย่างแซนด์และเพื่อนสนิทอีกหนึ่งราย ร่วมกันปัดฝุ่นหยิบโปรเจกต์ยาดมกลิ่นกาแฟกลับมาอีกครั้ง โดยวางคอนเซปต์ของแบรนด์คือ ‘กาแฟที่ไม่ต้องดื่ม’ ภายใต้ชื่อ ‘ดมตะ’ ที่หมายถึง ‘ลองดม’ ตามพื้นเพของพวกเขาที่มาจากภาคใต้

ความฝันของเพชรและทีมเริ่มขึ้นภายหลังชนะการประกวดในโครงการพัฒนาระบบนิเวศเพื่อสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Entrepreneurial Ecosystem Development) ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ด้วยเงินรางวัลจำนวน 100,000 บาท ถูกแปรเป็นเงินทุนสำหรับลองผิดลองถูกเพื่อทดลอง ‘essential oils’ หรือ ‘น้ำมันหอมระเหย’ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำยาดมกาแฟ

“การที่กลิ่นของเมล็ดกาแฟจะอยู่ได้นานเป็นเรื่องยาก เมล็ดกาแฟปกติถ้านำมาวางทิ้งไว้กลิ่นจะอยู่ได้นานสุดแค่ 15 นาที ซึ่งตัวน้ำมันหอมระเหยจากเมล็ดกาแฟที่สกัดได้ก็มีปริมาณไม่มาก ผมเลยปรึกษากับอาจารย์ท่านหนึ่งจากจุฬาฯ เพื่อหาวิธีสกัดที่ได้น้ำมันหอมระเหยจากกาแฟมากที่สุด”

วิธีการที่ว่าลงเอยที่การสกัดแบบ Supercritical CO2 จากนั้นจึงนำไปพัฒนาต่อร่วมกับอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่มีเครื่องมือในการทดลอง กว่าจะสำเร็จก็ใช้เวลานานถึง 2 ปี แต่ใช่ว่าได้น้ำมันหอมระเหยแล้วจะจบเท่านั้น สิ่งที่ยากที่สุดลำดับต่อมาคือจะพรีเซนต์กลิ่นออกมาได้ชัดเจนมากที่สุดยังไง

“ตอนแรกเราทดลองใส่หินพัมมิสเป็นที่เก็บกลิ่นในการหยดน้ำมันหอมระเหย แต่ผลลัพธ์คือผู้ใช้งานเจอปัญหาเรื่องฝุ่นเมื่อปล่อยทิ้งไว้ จนมาลงเอยกับการทำเป็นแบบยาดมซึ่งด้านในบรรจุสำลีธรรมชาติ ที่การหยดน้ำมันหอมระเหยหนึ่งครั้งสามารถอยู่ได้ 2-3 วัน โดยรวมคือซื้อหนึ่งเซตจะอยู่ได้ราวๆ 2 เดือน

“ความจริงก่อนหน้านี้เราออกสินค้ารุ่นทดลองให้มีดีไซน์คล้ายกับกล่องหูฟังด้วยกรรมวิธี 3D printer แต่เราฉุกคิดได้ว่ายิ่งผลิตในจำนวนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งใช้จำนวนพลาสติกมากขึ้นเท่านั้น ผลลัพธ์คือมีส่วนทำให้โลกร้อน ยิ่งโลกร้อนการปลูกเมล็ดกาแฟก็จะทำได้น้อยลง เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งจากพลาสติกมาเป็น ‘กระดาษรีไซเคิล’ และเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นแบบกระบอกที่ได้คอนเซปต์มาจากเครื่องบดกาแฟแบบมือหมุน (Manual Coffee Grinder)” เพชรอธิบายถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้แพ็กเกจจิ้งโปรดักต์ของดมตะออกมาหน้าตาดังที่เห็นทุกวันนี้

ยาดมจากเมล็ดกาแฟชั้นดีที่แม้แต่คนแพ้กาเฟอีนก็ดมได้

ยาดมดมตะหนึ่งชุดประกอบด้วยกระบอกยาดม 1 หลอด และขวดน้ำมันหอมระเหยขนาด 3 มิลลิลิตร เมื่อต้องการใช้เพียงเปิดฝากระบอกยาดมตามด้วยหยดน้ำมันหอมระเหย 1 หยด เป็นอันเสร็จพิธีพร้อมสูดดมให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

“อย่างเราเองที่ร่างกายไวต่อคาเฟอีนก็ดมได้โดยไม่มีผลข้างเคียง” แซนด์เสริมให้เราฟังถึงข้อดีของยาดมกลิ่นกาแฟ เป็นการทลายข้อจำกัดของคนที่อยากลิ้มรสกาแฟแต่มีอาการแพ้คาเฟอีน โดยยังได้ผลลัพธ์เหมือนกันคือร่างกายรู้สึกประปรี้กระเปร่าสมองปลอดโปร่ง ทั้งยังต่างจากยาดมสมุนไพรตามท้องตลาดที่สูดดมแล้วได้ความรู้สึกเย็นสดชื่น

ปัจจุบันดมตะมียาดมทั้งหมด 3 กลิ่น ได้แก่ 

1. Nutty : ฮีโร่โปรดักต์และโปรดักต์ชิ้นแรกที่เป็นซิกเนเจอร์ของดมตะ ได้น้ำมันหอมระเหยจากการสกัดเมล็ดกาแฟที่ปลูกใน ‘โซยิ ปางขอน คอฟฟี่’ (Soyi Pangkhon Coffee) ไร่กาแฟชื่อดังจากอำเภอปางขอน จังหวัดเชียงราย ซึ่งเมล็ดที่ใช้เป็นเมล็ดที่ติด 1 ใน 5 จากการประกวดเวที Specialty Coffee ถึง 3 ปีซ้อน สูดดมให้ความหอมหวานในแบบเมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ โดยมีกลิ่นถั่วแซมเล็กน้อย

2. Floral : กลิ่นที่ได้จากเมล็ดกาแฟสายพันธุ์เอธิโอเปีย G1 อีกหนึ่งสายพันธุ์เมล็ดกาแฟระดับโลกจากผืนแผ่นดินประเทศเอธิโอเปีย โดดเด่นด้วยกลิ่นดอกไม้แห้ง ช่วยลดความเครียดได้ดี

3. Strawberry : อีกหนึ่งกลิ่นที่เกิดจากการคอลแล็บกับ Jason Roaster Factory ร้านคาเฟ่และโรงคั่วกาแฟชื่อดัง ตัวกลิ่นมีความสลับซับซ้อน ลึกล้ำ โดยมีกลิ่นหอมหวานของสตรอว์เบอร์รีเป็นฉากหลัง 

“กลิ่นต่างๆ ที่เราคิดค้นต้องบอกว่าได้ไอเดียจากลูกค้าแทบจะเป็นหลัก เวลาไปออกบูทตามงานต่างๆ ก็จะมีรีเควสต์มาตลอดว่าทำไมไม่ลองกลิ่นนี้ล่ะหรืออยากลองดมกลิ่นเมล็ดกาแฟพันธุ์นี้ เราพยายามตอบรับฟีดแบ็กที่ได้ อย่างกลิ่น Floral ก็มาจากการจับกระแสในปีนั้นซึ่งเมล็ดกาแฟพันธุ์เอธิโอเปียกำลังมาแรง

“กลิ่น Floral ก็มาจากการที่เรารู้จักกับพี่ที่เป็นเกษตรกรซึ่งเขาเป็นสายประกวดเมล็ดกาแฟ ซึ่งเราลงพื้นที่ไปคัดเลือกด้วยตัวเอง ลองไปทดลองสกัดให้พี่เขาดม เขาก็ตอบกลับมาว่ากลิ่นแบบนี้เหมือนที่เขาคั่วเมล็ดเลย หรือกลิ่น Strawberry ก็มาจากที่เราคอลแล็บกับร้าน Jason Roaster Factory ที่รู้จักกันในกลุ่มสเปเชียลคอฟฟี่ เป็นเหมือนการแชร์ไอเดีย แชร์วัตถุดิบที่มี ทางร้านดูแลเรื่องวัตถุดิบส่วนเราดูแลเรื่องวิธีการ ซึ่งกลิ่นสตรอว์เบอร์รีที่ได้แทบจะเหมือนที่อยู่ในเมล็ดกาแฟ 100%” เพชรเล่าด้วยสีหน้าจริงจังถึงโปรดักต์ทั้ง 3 ประเภทในมือ

Price
สมราคากลิ่นกาแฟระดับสเปเชียลตี้

สำหรับราคาของยาดมกลิ่นกาแฟยี่ห้อดมตะเริ่มตั้งแต่เซตละ 295 บาท ไปจนถึงราคา 525 บาท 

หากเทียบกับยาดมสามัญประจำบ้านทั่วไปอาจดูแพงกว่าหลายเท่าตัว แต่ทั้งเพชรและแซนด์มองว่า คุณภาพของดมตะนั้นมีความพรีเมียมแทบไม่ต่างจากเครื่องหอมยี่ห้ออื่น

“เรามองว่าเราเองก็เป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่ง ซึ่งเครื่องหอมปกติราคาขายจะอยู่ในเรตราคาประมาณ 300, 400,  หรือ 500 ถ้าเทียบกับแบรนด์ยาดมอาจจะดูราคาสูงกว่า และเรามองว่าจุดที่เรายืนอยู่ก็อยู่ในตลาดที่เป็นเฉพาะกลุ่ม

“คนที่ซื้อดมตะนอกจากจะเป็นคอกาแฟ ยังมีกลุ่มคนอีกประเภทก็คือกลุ่มที่เก็บสะสมกลิ่นเครื่องหอม นั่นทำให้แบรนด์เราสามารถเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคได้ทั้ง 2 กลุ่ม” แซนด์อธิบายฐานกลุ่มผู้บริโภคของดมตะ

เพชรยังเสริมอีกว่าการตั้งราคานั้นสอดคล้องกับความพรีเมียมของวัตถุดิบที่ใช้ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เมล็ดกาแฟสายพันธุ์ดีที่ได้รับรางวัลจากการประกวด เมื่อนำมาแปรสภาพเป็นน้ำมันหอมระเหยที่การสกัดหนึ่งล็อตได้ปริมาณจำกัด ทำให้ราคาต้นทุนต้องปรับสูงตามไปด้วยนั่นเอง

“การสกัดน้ำมันหอมระเหย 1 ล็อต ผมต้องใช้เมล็ดกาแฟถึง 15 กิโลกรัม โดย 1 ล็อตจะได้น้ำมันหอมระเหยประมาณ 800 มิลลิลิตร จากนั้นค่อยนำมาแยกบรรจุขายขวดละ 3 มิลลิตร ถามว่าได้กำไรไหม ต้องบอกว่าแทบไม่ได้เลย ต้นทุนเอาเรื่องมาก แต่เราอยากพรีเซนต์สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้ามากกว่า” 

Place 
เติบโตจากการออกบูทและคอมมิวนิตี้คนรักกาแฟ

“ตอนที่ออกบูทครั้งแรกคนก็มามุงที่หน้าร้าน ถามว่าเราขายอะไร ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” 

เพชรย้อนความให้ผมฟังถึงบรรยากาศการออกร้านครั้งแรกของดมตะในงาน Thailand Cofee Fest 2022 ในครั้งนั้นสินค้าของดมตะ sold out ถึงขั้นต้องมีการสั่งพรีออร์เดอร์สินค้าล่วงหน้า 

แซนด์เสริมต่อว่า จากปรากฏการณ์บูทคนล้นในครั้งนั้นกลายมาเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้บริโภคบอกข้อดีของดมตะปากต่อปาก สร้างการรับรู้โดยไม่ต้องมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง นำมาสู่การขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทุกครั้งที่ออกงานกาแฟ ณ ที่ต่างๆ 

“ต้องบอกว่าคนรักกาแฟอยู่กันแบบคอมมิวนิตี้ ในคอมมิวนิตี้นี้ไม่ได้มีแค่คนผลิตกาแฟ นักดริปกาแฟ แต่ยังมีคนที่จำหน่ายเอสเซสเซอรีต่างๆ พอเราไปออกบูธเลยเหมือนเป็นความแปลกใหม่ในคอมมิวนิตี้ 80% ของลูกค้าเรามาจากการได้ไปออกบูท เพราะการมาที่งานทำให้เขาได้ลองดมกลิ่น ได้เทสต์ว่าสินค้าเราเป็นยังไง”

นอกจากการวางขายแบบออนไลน์และออกบูทเป็นช่องทางหลัก ดมตะยังมีการกระจายสินค้าผ่านร้านกาแฟต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรซึ่งส่วนใหญ่รู้จักกันผ่านการออกงาน และเร็วๆ นี้พวกเขายังมีแผนที่จะวางขายสินค้าในแหล่งใจกลางเมืองอย่างสยามดิสคัฟเวอรี่ 

“การเลือกสยามดิสคัฟเวอรี่เป็นการเพิ่มโอกาสให้คนเห็นแบรนด์เรามากขึ้น และเราสามารถพรีเซนต์สินค้าได้ชัดเจน ผมอยากให้คนมองเราเป็นครีเอเตอร์ด้านกลิ่น คือเราเป็นบาริสต้าแต่เราไม่ได้เสิร์ฟเครื่องดื่ม แต่เสิร์ฟกลิ่นกาแฟ และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะขยายสเกลของแบรนด์ให้สินค้าไปอยู่ในร้านกาแฟที่เป็นระดับสเปเชียลตี้ ซึ่งผมเชื่อว่าในนั้นมีกลุ่มผู้บริโภคที่เข้าใจสินค้าของเรา” เพชรกล่าว

“มองถึงเรื่องการส่งออกต่างประเทศบ้างไหม” ผมถามต่อ

“จริงๆ เราวางแผนเรื่องการส่งออกไว้เหมือนกัน แต่ติดปัญหาข้อหนึ่งคือสินค้าของเรามันใหม่มาก แม้แต่เครื่องสกัดของเราก็ยังใหม่ ใหม่จนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่สามารถจดทะเบียนได้ว่าสินค้าเราควรอยู่ในหมวดเครื่องหอมหรือยารักษาโรค เป็นเรื่องที่เราต้องทำการบ้านเพิ่มเติมเพื่อจะไปถึงจุดนั้น” แซนด์เสริมถึงความท้าทายที่ดมตะกำลังเผชิญอยู่ในเรื่องของการส่งออก ซึ่งเป็นเป้าหมายในอนาคตที่แบรนด์แบรนด์นี้ตั้งใจที่จะก้าวไปให้ถึง 

Promotion 
คอนเทนต์จากคอกาแฟถึงเพื่อนคอกาแฟ

ตามที่เกริ่นนำไปว่าดมตะเริ่มนับหนึ่งแบรนด์จากการออกบูท พวกเขาจึงนำจุดแข็งนี้มาต่อยอดด้วยการสร้างการรับรู้ผ่าน ‘โซเชียลฯ’ โดยเพชรบอกว่าสิ่งนี้กลายเป็นคอมมิวนิตี้ที่ดึงดูดคนที่มีความชอบเดียวกัน จนกลายเป็นจุดแข็งของพวกเขาในที่สุด

“เรามองว่ามันเป็นการสร้าง awareness สิ่งสำคัญคือเราจะมีกลยุทธ์การสื่อสารส่งไปถึงผู้บริโภคยังไง อย่างคอนเทนต์และอาร์ตเวิร์กก็ต้องสื่อสารให้ชัดเจนเข้าใจง่าย ให้เขารู้ว่าวัตถุดิบที่เราใช้มีความพรีเมียมยังไง เป็นเหมือนการ์ดเชิญให้คนเข้ามารู้จักกับแบรนด์ จากนั้นถึงใช้กลิ่นเป็นไม้ตายปิดการขาย”

เพชรยังเล่าต่อว่านอกจากช่วยในการขาย โซเชียลฯ ยังเป็นอีกเครื่องมือในการรับฟีดแบ็กจากผู้บริโภคเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้า ไปจนถึงเป็นไอเดียในการสร้างสรรค์โปรดักต์ใหม่ เหมือนที่ล่าสุดเพิ่งออกยาดมกลิ่นชามะลิและชายูสุเพื่อตอบโจทย์คนที่ดื่มชา

“อย่างที่บอกว่าเราเปรียบตัวเองเป็นบาริสต้า ซึ่งการเป็นบาริสต้าไม่ได้ทำเป็นแค่กาแฟแต่รวมถึงเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น ชาหรือมัทฉะ ซึ่งกลิ่นเครื่องดื่มอย่างชามะลิและยูสุที่เพิ่งออกใหม่ก็มาจากที่ลูกค้ารีเควสต์ ถ้าไม่เกินความสามารถเราก็ทำให้ได้

“เรามองว่ายาดมกลิ่นชาเองเข้าถึงคนหมู่มากได้กว่ากาแฟ เพราะมีกลิ่นที่หอมสดชื่น โดยเฉพาะกลิ่นส้มยูสุที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ตอนนี้เราจึงแยกชัดเจนว่า ผลิตภัณฑ์ยาดมกลิ่นกาแฟเหมาะสำหรับคนรักกาแฟสเปเชียลตี้ ส่วนยาดมกลิ่นชาอยู่ในกลุ่มแมสที่ไม่ต้องดื่มกาแฟก็ทำความเข้าใจได้”

ทั้งนี้ข้อดีของยาดมกลิ่นใบชาคือมีกรรมวิธีที่ง่ายกว่า สามารถใช้ใบชาอบแห้งเบลนด์เข้ากับ essential oils โดยไม่ต้องผ่านการสกัดเหมือนเมล็ดกาแฟ ให้ความรู้สึกสดชื่นจากกลิ่นมะลิและกลิ่นส้มยูสุที่หอมติดจมูกชัดเจน ไม่ฉุนแม้แต่น้อย โดยเพชรและแซนด์แย้มให้ฟังอีกว่า เร็วๆ นี้จะมีการออกกลิ่นมัทฉะเพื่อเอาใจเทรนด์มัทฉะเลิฟเวอร์ที่กำลังมาแรงในปีนี้

Perfectionist
สารจากนักออกแบบกลิ่น

 P สุดท้ายที่เพชรและแซนด์นิยามไว้คือคำว่า Perfectionist ซึ่งในที่นี้หมายถึงการตั้งใจออกแบบโปรดักต์ด้วยความพิถีพิถัน สิ่งนี้ตรงกับความตั้งใจของดมตะตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำ คือการเสิร์ฟกลิ่นกาแฟพรีเมียมไปถึงคอกาแฟตัวจริง

“ผมคิดว่าเรามีมาตรฐานเป็นของตัวเอง เราไม่ค่อยพอใจกับอะไรง่ายๆ ไม่อย่างงั้นคงไม่ใช่เวลาถึง 2 ปีกว่าถึงจะกล้าออกวางขาย ในฐานะคอฟฟี่เลิฟเวอร์เรารู้ดีอยู่แล้วล่ะ ว่าคนที่ดื่มกาแฟเขาชอบกลิ่นประมาณไหน ฉะนั้นคงยอมไม่ได้ถ้าเราจะทำกลิ่นกาแฟที่เป็นกลิ่นกาแฟเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน 

“เคยมีลูกค้า B2B (business-to-business) ขอให้เราทำโปรดักต์แบบก้านหอม แต่พอทำออกมาแล้วไม่ได้มาตรฐานเท่าโปรดักต์แบบยาดมเราก็ไม่ปล่อยวางขาย ผมและทีมมองว่าสิ่งนี้สำคัญมากๆ กับการเซตมาตรฐานใหักับแบรนด์ที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้า” เพชรยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น

ถึงตรงนี้ดมตะกำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่าการขยับขยายแบรนด์ย่อมมีนานาอุปสรรคตามมาอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ทอัพที่เริ่มจากคนเพียง 3-4 คน แต่เพชรและแซนด์กลับมองในแง่ดี ว่านี่เป็นบทเรียนล้ำค่าที่หาจากที่ไหนไม่ได้

“บทเรียนสำคัญในการทำธุรกิจคือคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาได้เลย พอเราแก้ปัญหาหนึ่งจบ อีกปัญหาหนึ่งก็จะตามมา อยู่ที่ว่าคุณจะยอมแพ้ให้กับมันง่ายๆ หรือเปล่า อย่างช่วง 2 ปีแรกที่เราทำดมตะเราเจอปัญหาสารพัด แต่เรามีความเป็นนักสู้มากพอที่จะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้” ซีอีโอผู้ริเริ่มแบรนด์ดมตะกล่าว

“อีกข้อคือต้องมีความเชื่อมั่นในทีม” แซนด์เสริม “เราและทีมเชื่อมั่นในไอเดียของเพชรมากๆ อาจจะมีบางไอเดียที่มันฟุ้งเกิน หน้าที่ของเราคือช่วยตบให้เข้ารูปเข้ารอย หรือบางไอเดียที่เรามองว่าสามารถต่อยอดได้ก็จะนำมาพูดคุยกันและลงมือทำสักตั้ง ถ้าสามารถทำออกมาได้จริงเราก็แฮปปี้”

“ยังมีอีกหลายอย่างเลยแหละที่ผมและทีมอยากทำ แต่ที่อยากเห็นมากๆ คือการได้เห็นโปรดักต์ของดมตะได้ขยับขยายพื้นที่การขายจากร้านกาแฟไปสู่ที่ที่มีคนเห็นมากขึ้นอย่างห้างสรรพสินค้า หรือมีช็อปเป็นของตัวเอง” เพชรกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Writer

นักเขียนผู้หลงใหลโลกของฟุตบอล สนีกเกอร์ และกันพลา

Photographer

ช่างภาพที่สนุกกับการแต่งตัว อยู่กับเสียงเพลง และหลงรักในความทรงจำ Ig : mocfirst

You Might Also Like